AI เปลี่ยนเกม วัยทำงานต้องสร้างสิ่งใหม่ ให้เหนือกว่าที่ AI ทำได้

เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ถ้าไม่มีไอเดียแตกต่างก็ไม่มีข้อได้เปรียบ สิ่งวัยทำงานยุคนี้ต้องมีไม่ใช่แค่ทักษะ AI แต่คือ "ความกล้า" ที่จะคิดนอกกรอบ
KEY
POINTS
- AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือช่วยงานอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นผู้ทำงานแทนในหลายด้าน มนุษย์จึงต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นการ “สอน AI ให้ทำงาน” (Prompt Engineer) บวกกับใช้ความคิดสร้างสรรค์ และรสนิยมที่แตกต่าง ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้
- งานทั่วไปจะถูกแทนที่ แต่ผู้เชี่ยวชาญและคนกล้าคิดนอกกรอบจะรอด เมื่อ AI ทำได้หลายอย่างได้ในต้นทุนที่ต่ำมาก ความได้เปรียบของมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่ความรู้ทั่วไป แต่มาจากความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง การมองเห็นโอกาสใหม่ และกล้าที่จะลงมือทำ
- แม้คนไทยจะเก่งและตามเทคโนโลยีไว แต่ยังขาดความกล้าในการสร้างสิ่งใหม่หรือเผชิญกับกฎระเบียบที่ท้าทาย การเปลี่ยนแปลงจากผู้รับสู่ผู้ให้ ผู้บริโภคสู่ผู้ส่งออก คือก้าวสำคัญที่จะทำให้ไทยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในโลกที่ AI กำลังกลืนทุกสิ่ง
นับตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวในปี 2022 โลกการทำงานก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะ AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงในทุกอุตสาหกรรม แต่มันกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโค้ด ออกแบบ สื่อสาร หรือการตัดสินใจทางธุรกิจ
ล่าสุด ในงาน THAILAND HR TECH Conference & Exposition 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ซีเค เจิง (CK Cheong) ซีอีโอบริษัท Fastwork Technologies ได้กล่าวในหัวข้อ "Stay Ahead: How to Adapt, Learn, and Lead in the AI-Driven World" ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและลึกซึ้ง
เขาชี้ให้เห็นว่า "ช่องว่างระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีกำลังจะหายไป" และ AI กำลังเปลี่ยนสถานะจากการเป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพ ไปสู่การเป็นตัวเลือกที่สามารถ "ทดแทนมนุษย์" ได้ในหลายมิติของงาน
3 โครงสร้างใหญ่ที่เปลี่ยนโลก ล่าสุด..เราอยู่ในยุค AI เปลี่ยนโลกการทำงาน
เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง ซีเค เจิง ได้เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของโลกกับ 3 โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของมนุษยชาติ ได้แก่
โครงสร้างพลังงาน (ราวปี 1900): การค้นพบไฟฟ้าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับโลก ผู้คนไม่ต้องพึ่งพาไฟจากเทียนหรือฟืนอีกต่อไป แต่การเข้าถึงพลังงานจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานอย่างเสาไฟฟ้า ที่ทำให้ไฟฟ้ากระจายไปทั่วประเทศ
โครงสร้างข้อมูล (ราวปี 2000): การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุด อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ ติดต่อสื่อสาร และทำธุรกิจ แต่ก็ยังต้องอาศัยโครงสร้างที่จับต้องได้ เช่น เสาสัญญาณ และโครงข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ
โครงสร้างความฉลาด (เริ่มปี 2022): การเปิดตัวของ ChatGPT เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างโครงสร้างความฉลาด ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของวัตถุหรือเครื่องจักร แต่คือ Cloud Computing และ Data Center ที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึง AI ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักออกแบบ หรือผู้ประกอบการ
AI ทำให้ต้นทุนความฉลาดเป็นศูนย์.. แล้วมนุษย์จะยังมีงานทำไหม?
ในอดีต อาชีพที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ หรือการฝึกฝนเฉพาะทาง เช่น ทนายความ นักบัญชี หรือวิศวกร คือสิ่งที่สังคมให้คุณค่า และใช้เวลาหลายปีในการบ่มเพาะ แต่ในยุคของ AI ความสามารถเหล่านี้กำลังถูกแปลงเป็นคำสั่งที่ AI สามารถประมวลผลและให้ผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่วินาที ต้นทุนของความฉลาดของมนุษย์ที่เคยมีจึงอาจกลายเป็นศูนย์ เพราะใครๆ ก็สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่ "ฉลาด" ได้เท่ากัน
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือการเขียนโปรแกรม ที่แต่ก่อนต้องจ้างงาน Software Engineer ที่เชี่ยวชาญมาทำให้ แต่วันนี้ AI สามารถเขียนโค้ดให้ได้จากคำสั่งธรรมดา เช่น "ช่วยสร้างเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้หน่อย" หรือแม้แต่ "สร้างแอปให้จองคิวร้านอาหารแบบ Line Man"
ข้อมูลจาก Google ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้ 25% ของการโค้ดดิ้งในระบบของบริษัทถูกเขียนโดย AI และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 50% ในปีนี้ หมายความว่า งานของวิศวกรอาจเปลี่ยนบทบาทจาก "คนเขียนโค้ด" มาเป็น "คนสอน AI" หรือที่เรียกว่า Prompt Engineer แทน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ในแวดวงเทคโนโลยี แต่ลามไปยังทุกภาคธุรกิจ ตั้งแต่ธนาคารระดับโลกอย่าง HSBC, Citi Bank ไปจนถึง Goldman Sachs ต่างทยอยปลดพนักงานจำนวนมาก เพื่อลดต้นทุนและแทนที่ด้วย AI ในสายตาของซีอีโอ Fastwork มองว่า การเลือกใช้ AI เพื่อทำงานแทนคนในบางตำแหน่ง เป็นการตัดสินใจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะองค์กรต้องลดรายจ่ายและทำกำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น
แต่ใช่ว่า AI จะทำลายทุกอย่าง เพราะเมื่อบางอย่างถูกทดแทน มันก็เปิดพื้นที่ใหม่ให้กับงานรูปแบบอื่น เช่น
1. นักเขียนและนักข่าว: จะมีบทบาทใหม่ในการลงพื้นที่ สัมภาษณ์ ค้นหาข้อมูลเชิงลึกที่ AI เข้าไม่ถึง เพราะ AI ใช้เพียงข้อมูลที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ต
2. นักออกแบบ: จะไม่เน้นการผลิตชิ้นงานด้วยตนเอง แต่ใช้รสนิยมและความเข้าใจลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อน ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์
3. นักพัฒนาซอฟต์แวร์: จะกลายเป็นผู้กำกับ AI ผ่านการตั้ง Prompt อย่างชาญฉลาด มากกว่าจะลงมือเขียนโค้ดด้วยตัวเอง
ยุคเทคโนโลยีก้าวล้ำขั้นสุด แต่มนุษย์ยังเป็น Secret Sauce ที่ AI เลียนแบบไม่ได้
ที่ผ่านมา เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการขยายขีดความสามารถของมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขช่วยคำนวณ โทรศัพท์ช่วยให้สื่อสาร คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผล แต่วันนี้ความหมายของเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนไปสู่การ “แทนที่” อย่างสมบูรณ์ AI คือเทคโนโลยีแรกที่สามารถ “คิด” และ “ตัดสินใจ” ได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับมนุษย์
ในโลกการทำงานยุคใหม่ AI จะเข้ามาทดแทนหลายๆ งาน แต่ไม่ใช่ทุกงาน! แม้ว่า AI จะฉลาดเพียงใด แต่สิ่งที่ AI ยังไม่มีคือทักษะความเป็นมนุษย์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ คิดแบบนอกกรอบ รสนิยม (Taste) หรือแรงผลักดันจากอารมณ์ ความฝัน และสัญชาตญาณ สิ่งเหล่านี้คือ Secret Sauce ที่จะทำให้มนุษย์ยังคงมีที่ยืนในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ซีอีโอ Fast work มองว่า มนุษย์เรายังจำเป็นในสายงานนั้นๆ อยู่ เพียงแค่รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป โดยจะเน้นไปที่การเป็น "ที่ปรึกษา" ที่ต้องเจาะจงรายละเอียด (Niche) และใส่ "รสนิยม" หรือ "Taste" ของคนทำงานเข้าไปในเนื้องาน แม้ AI ทำแทนได้เกือบทุกอย่าง แต่ "ความคิดสร้างสรรค์" และ "ความแตกต่าง" คือสิ่ง AI ยังทำไม่ได้
"มนุษย์ยังคงเป็น X-Factor สำคัญที่จะทำให้อาชีพการงานประสบความสำเร็จ แต่ต้องควบคู่ไปกับการรู้จักนำ AI มาปรับใช้กับการทำงาน หรือปรับใช้ธุรกิจ นี่คือสิ่งสำคัญ เพราะ AI จะเป็นเหมือน "ตั๋ว" หรือใบเบิกทาง ที่จะพาคุณเข้าสู่สนามการแข่งขันทางอาชีพหรือสนามธุรกิจ มันจะช่วยให้คุณโดดเด่นขึ้นมา แต่ถ้าไม่ใช้ AI ก็จะด้อยกว่าคนอื่น" เขา ย้ำ
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือร้านสุกี้ “ตี๋น้อย” ที่เข้ามาท้าทาย MK ซึ่งครองตลาดมานาน แต่ตี๋น้อยกลับหาจุดแข็งใหม่ได้จากการ “คิดต่าง” เช่น เปิดร้านตอนกลางคืน ลดต้นทุนค่าเช่าห้าง และขายอาหารในรูปแบบที่ AI ไม่มีวันคาดการณ์ได้จากข้อมูลเดิม
AI คือ "คุณสมบัติจำเป็น" แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ทันที
ซีเค เจิง เปรียบเทียบว่า AI คือ "คุณสมบัติจำเป็น" ที่ทุกคนต้องมีเพื่อให้แข่งขันได้โลกการทำงาน แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราโดดเด่น หรือประสบความสำเร็จได้ทันที จริงอยู่ว่าถ้าคุณไม่ใช้ AI ทำงาน คุณอาจตามคนอื่นไม่ทัน แต่ถ้าคุณใช้มันเป็น ก็ยังไม่ได้แปลว่าคุณจะเหนือกว่าคนอื่น
แต่สิ่งที่จะทำให้คุณ "แตกต่าง" อย่างแท้จริงคือความสามารถในการมองเห็นปัญหา เข้าใจผู้คน และกล้าที่จะสร้างสิ่งใหม่ให้แตกต่าง หรือกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
ยกตัวอย่างจากธุรกิจไทย เช่น Bitkub, Grab, หรือ Airbnb ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความกล้าที่จะลงมือทำ ในขณะที่หลายคนยังกลัวระบบ ยังกลัวความไม่แน่นอน
สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ เราอยากให้ประเทศไทยเป็นแค่ “ผู้บริโภค” เทคโนโลยีจากต่างชาติไปเรื่อยๆ หรือจะเป็น “ผู้ส่งออก” นวัตกรรมที่โลกต้องหันมามอง เรามีศักยภาพพอ แต่สิ่งที่ยังขาดคือ “ความกล้า” ที่จะคิดต่าง กล้าที่จะเริ่มต้น และกล้าที่จะล้มเหลว ในวันที่ต้นทุนของความฉลาดเป็นศูนย์ ความคิดสร้างสรรค์ รสนิยม ความเข้าใจมนุษย์ และความกล้าหาญ อาจกลายเป็นทุนที่มีค่าที่สุดของมนุษย์
โลกใบเดิมกำลังจางหายไป โลกใหม่กำลังถือกำเนิด และคำถามที่เราต้องตอบตัวเองคือ เราจะรอให้โลกเปลี่ยน แล้วค่อยปรับตัว หรือจะเป็นคนที่เปลี่ยนโลกด้วยมือของตัวเอง