ซีอีโอ Bitkub ชี้ชัด 5 ปีข้างหน้า ใครใช้ AI ไม่เป็น เสี่ยงตกงาน 100%

ยุคทองของ "คนสั่งงานเก่ง" มนุษย์จะเป็นหัวหน้าเน้นสั่งงานลูกน้องที่เป็น AI ซึ่งฉลาด และทำงานไม่เหน็ดเหนื่อย ซีอีโอ Bitkub ชี้ชัด 5 ปีข้างหน้า ใครไม่ปรับตัว "ตกงาน 100%"
KEY
POINTS
- ในอีก 5 ปีข้างหน้า คนทำงานที่ใช้ AI ไม่เป็นจะตกงาน 100% ต่อไปพนักงานทุกคนต้องปรับตัวสู่การเป็นผู้จัดการที่มีลูกทีมเป็น AI ซึ่งฉลาดกว่า ทำงานได้ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องมีเงินเดือน
- ทักษะการสื่อสาร และการสั่งงาน AI (Prompt Engineering) อย่างมีประสิทธิภาพคือ สิ่งสำคัญที่สุด คนทำงานที่สั่งงาน AI ให้ทำงานได้ดีจะไม่มีทางตกงาน และการใช้ AI ให้เป็น "Second Nature" ตั้งแต่วันนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่ม Productivity มหาศาล
- AI จะเข้ามาแทนที่งานที่ทำซ้ำๆ กว่า 90% ในทุกองค์กร ทำให้โครงสร้างองค์กรเปลี่ยนไปสู่ "Small Teams, Big Impact" ที่มีจำนวนพนักงานน้อย แต่สร้างผลผลิตเทียบเท่าบริษัทขนาดใหญ่
ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดุเดือด และรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อนาคตของการทำงานกำลังถูกพลิกโฉมด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างสิ้นเชิง จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Founder and Group CEO แห่ง Bitkub ได้ขึ้นเวที THAILAND HR TECH Conference & Exposition 2025 บรรยายในหัวข้อ "The True Mindset : Adapting to Change in a Fast-Paced Digital World" (ปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลที่ก้าวเร็ว) เพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัวสำหรับวัยทำงานทุกคน พร้อมเผยวิสัยทัศน์ที่อาจเปลี่ยนมุมมองการทำงานของคุณไปตลอดกาล
"ถ้าใครไม่เป็น AI enabled person ตกงาน 100%" นี่คือ คำเตือนที่ชัดเจนจาก จิรายุส ที่ระบุว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ผู้ที่ไม่สามารถใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะประสบปัญหาในการหางานอย่างแน่นอน เปรียบได้กับยุคที่ใครใช้คอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตไม่เป็นก็ยากที่จะหางานทำ
เขาบอกอีกว่าในอนาคตอันใกล้ โลกการทำงานกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ทุกคนจะกลายเป็น "ผู้จัดการ" (Manager) โดยที่ลูกทีมของพนักงานทุกคนจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็น AI ที่ฉลาดกว่าเด็กจาก MIT หรือ Harvard มันทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่เคยบ่น และที่สำคัญคือ "ไม่ต้องการเงินเดือน"
มนุษย์งานในยุค AI ต้องปรับตัว และเพิ่มทักษะอะไรให้ไม่ตกงาน?
ซีอีโอ Bitkub แนะนำวัยทำงานในยุคนี้อีกว่า ต่อไปเมื่อ AI เข้ามาแทนที่การทำงานแบบเดิมๆ ได้ในงานส่วนใหญ่ หากเราจะอยู่รอดในตลาดงานได้ก็ต้องเพิ่มพูนทักษะสำคัญ No.1 ที่มนุษย์ต้องมี นั่นคือ "การสั่งงานให้เก่ง" หรือ "Prompt Engineering"
จิรายุส เน้นย้ำว่า การสื่อสารที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถ "สื่อสารกับ AI ให้รู้เรื่อง" ได้ด้วย ดังนั้น การฝึก Prompt ให้ได้ดีที่สุดจึงจำเป็น หากพนักงานสั่งงาน AI แบบคลุมเครือหรือกำกวม จะส่งผลให้ได้คำตอบที่ไม่ตรงใจ เสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ควรจะเป็น ในทางกลับกัน หากสามารถสั่งงาน AI ได้อย่างแม่นยำ งานที่ออกมาจะมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วกว่ามาก
ในฐานะผู้นำองค์กร เขาแนะนำให้วัยทำงานทุกคนเริ่มต้นฝึกสั่งงานให้เก่งตั้งแต่วันนี้! ทุกคนควรใช้ AI ให้เป็น "Second Nature" ในชีวิตประจำวัน อย่ารอถึง 5 ปีข้างหน้า เพราะเมื่อวันนั้นมาถึง AI จะกลายเป็นเหมือน "ไฟฟ้า" หรือ "อินเทอร์เน็ต" ที่ทุกอุตสาหกรรม และทุกองค์กรต้องใช้
เขาชี้ให้เห็นว่า ทุกวันนี้เขาแทบไม่ได้ใช้ Google Search แล้ว แต่ใช้ ChatGPT แทน และสนับสนุนให้ลงทุนในเครื่องมือ AI เพราะมันคือ การ "ลงทุนเกินตัว" (Over-invest) ในเทคโนโลยีที่จะเพิ่ม Productivity ให้กับทั้งตัววัยทำงาน และองค์กรอย่างมหาศาล
โมเดลองค์กรแห่งอนาคต : "Small Teams, Big Impact"
หัวเรือใหญ่ของ Bitkub บอกว่าเขาเองได้นำแนวคิด Small Teams, Big Impact มาใช้จริงกับบริษัทใหม่ในเครือที่มีชื่อว่า Stay Gold โดยมีนโยบายว่า บริษัทนี้ "ห้ามมีพนักงานเกิน 10 คน" ไม่ว่าบริษัทจะเติบโตใหญ่ขึ้นแค่ไหนก็ตาม ซึ่งพนักงานทั้ง 10 คนนี้ต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือผู้จัดการที่ "สั่งงานอย่างเดียว" แล้วให้ AI เป็นเหมือนลูกน้องทำงานให้ทั้งหมด ผลลัพธ์คือ Stay Gold สามารถสร้างเว็บไซต์ และ Mobile Application ได้สำเร็จโดยที่สมาชิกในทีม "ไม่มีความรู้เรื่อง Coding เลย"
รวมถึงการสร้าง Pitch Deck (ชุดสไลด์ที่ใช้ในการนำเสนอเพื่อสรุปภาพรวมของธุรกิจหรือโครงการต่างๆ ของบริษัท) ที่สมบูรณ์แบบได้ในพริบตา นี่คือ ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ในอนาคต เราสามารถสร้างบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาทได้ด้วยพนักงานเพียง 10 คน ที่มี AI เป็นพลังขับเคลื่อน
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งภาพที่เห็นชัดเจนมากขึ้นในโลกการทำงานก็คือ AI จะเข้ามาแทนที่ "รูปแบบงานซ้ำซาก" กว่า 90% ในปัจจุบันนี้พบว่ากว่า 90% ของงานที่พวกเราทำอยู่นั้น "ไม่ได้ใช้หัวสมองจริงจัง" แต่เป็นการทำตามขั้นตอนซอฟต์แวร์แบบซ้ำๆ เช่น การกดปุ่ม ดาวน์โหลด อัปโหลด คัดลอก วาง ตัวอย่างเช่น งานของทีมบัญชีที่ต้องเปิดอีเมล ดาวน์โหลด Invoice อัปโหลดเข้าซอฟต์แวร์บัญชีเพื่อบันทึกรายการ สิ่งเหล่านี้คือ "Work Block" ที่ AI สามารถทำงานแทนได้ทั้งหมดอย่างไม่มีข้อผิดพลาด
HR ก็ต้องปรับตัว! เคาะบทบาทหน้าที่พนักงานใหม่ เกิดการยุบรวมตำแหน่งงาน
หากมองในมุมของ HR ที่ต้องบริหารจัดการเรื่องบุคลากรในบริษัท จิรายุส บอกว่า AI ก็เข้ามาเขย่าการทำงานของฝ่ายทรัพยากรบุคคลเช่นกัน โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ "Unbundling" และ "Rebundling" ของ Job Description หมายความว่า HR จะต้องเผชิญกับการเขียน Job Description ใหม่ทั้งหมด เนื่องจาก AI จะทำให้เกิดการ "Unbundling" (แยกส่วน) ของทักษะในตำแหน่งงาน
โดยงานที่เป็นลักษณะซ้ำๆ ที่ AI ทำแทนคนได้ จะถูกแยกออกไป ทำให้มนุษย์มีเวลามากขึ้น ตัวอย่างเช่น Marketing Manager จะมีเวลาว่างถึง 50% เพราะ AI สามารถสร้าง Presentation เขียนบทความ หรือทำ SEO ได้ดีกว่า
จากนั้นจะเกิดการ "Rebundling" (รวมส่วน) ตำแหน่งงาน โดยนำทักษะที่ AI ทำไม่ได้ และต้องใช้ "มนุษย์" มาทำงานร่วมกับมนุษย์มารวมกัน เช่น Marketing Manager อาจจะต้องพัฒนาทักษะด้าน Business Development เพื่อรับผิดชอบงานที่ต้อง "คุยกับคน" และ "ปิดการขาย" ซึ่ง AI ทำไม่ได้ ตำแหน่งงานในอนาคตจึงจะเป็นลักษณะ "ลูกผสม" เช่น "Marketing and Business Development Manager" ซึ่งเมื่อก่อนต้องมี 2 คน แต่ตอนนี้เหลือเพียง 1 คน
นี่คือ "การทดแทนแบบทวีคูณ" (Exponential Replacement) ทำให้บริษัทที่เคยใช้พนักงาน 300 คน อาจจะเหลือเพียง 150 คน หรือบริษัทที่มีพนักงาน 50 คนและใช้ AI จะมีผลลัพธ์เท่ากับบริษัทที่มีพนักงาน 10,000 คน
ทักษะที่มีอยู่วันนี้ จะใช้ไม่ได้อีกแล้วในอีก 5 ปีข้างหน้า
จิรายุส ย้ำว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถของคนทำงานในวันนี้กว่า 44% จะ "ใช้ไม่ได้แล้ว" (Obsolete) ไม่ใช่เพราะมันหายไป แต่เพราะ AI จะทำได้ดีกว่า เช่นเดียวกับความรู้เรื่องเรขาคณิตที่ยังคงอยู่กับเรา แต่มันไม่มีประโยชน์ในยุคที่เครื่องคิดเลขทำได้แม่นยำกว่า
เมื่อโลกกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้นคนทำงานยุคนี้ก็ต้องเข้าใจทิศทางนี้ และพัฒนาทักษะตนเองให้ทัน อย่ารอจนถึง 5 ปีข้างหน้า แต่เขาย้ำว่าการปรับตัวต้องเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วยซ้ำ เขาแนะนำทิ้งท้ายถึงสิ่งที่วัยทำงานต้องทำ ได้แก่
- ลงทุนเพื่อใช้เครื่องมือ AI (เช่น ChatGPT) : ยอมจ่ายเพื่อเข้าถึงเครื่องมือนี้ แล้วฝึกใช้มันทุกวัน พร้อมๆ กับเปลี่ยน Mindset ของตัวเองให้เป็นผู้จัดการที่สั่งงาน AI ให้เก่ง
- พัฒนาทักษะสื่อสาร : ทักษะสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ทักษะการสื่อสาร มันสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดสำหรับโลกอนาคต โดยเฉพาะการสื่อสารให้เข้าใจทั้งกับมนุษย์ และ AI ประเทศใด บริษัทใด หรือคนทำงานคนใดที่ไม่ใช้ AI จะกลายเป็นสิ่งล้าสมัย (obsolete) ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ดังนั้น การ Reskilling และ Upskilling จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวัยทำงานทั่วโลก ไม่ใช่แค่เด็กจบใหม่เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราทุกคนพร้อมรับมือกับโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







