ออฟฟิศทำร้ายใจ? วิจัยพบ งานอิสระเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่างานประจำ

ออฟฟิศทำร้ายใจ? วิจัยพบ งานอิสระเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่างานประจำ

ผลวิจัยใหม่จาก UCLA พบว่าผู้หญิงที่ทำงานอิสระ มีแนวโน้มอ้วน และนอนไม่พอ 'น้อยกว่า' คนทำงานประจำอย่างชัดเจน ความยืดหยุ่นในการทำงานคือกุญแจสำคัญต่อสุขภาพหัวใจ

KEY

POINTS

  • งานวิจัยสำคัญของ UCLA ล่าสุดในปี 2025 พบว่า ผู้หญิงที่ประกอบอาชีพอิสระมีอัตราความอ้วน ไม่ออกกำลังกาย และการนอนไม่หลับ ต่ำกว่าผู้หญิงที่ทำงานประจำ
  • ขณะที่ผู้ชายที่ประกอบอาชีพอิสระ ไม่พบข้อดีเช่นเดียวกันนี้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติของพนักงานเพศชาย
  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ความยืดหยุ่นในเวลางาน และความมีอิสระในการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญของสุขภาพคนทำงาน ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งลูกจ้างและนายจ้าง

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation, WHF) เคยเปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวลต่อสุขภาพคนทั่วโลกไว้ว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก โดยพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วโลก มากกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี และ 85% ของการเสียชีวิตเกิดจากอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง ขณะที่ในประเทศไทย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center) ปี 2566 พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสะสมมากกว่า 2.5 แสนราย และเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 4 หมื่นราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 5 คน

ทั้งนี้สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจก็มาจากหลากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งจากภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง อันเป็นผลจากการไม่ดูแลตัวเองในเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และการจัดการ "ความเครียด" โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่ทำงานประจำ แต่ล่าสุดมีงานวิจัยใหม่ชี้ว่า คนทำงานอิสระ อาจเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่าคนทำงานประจำ โดยเฉพาะผู้หญิง?!

เมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานผลการวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) ในปี 2025 ที่ศึกษาข้อมูลคนทำงานกว่า 20,000 คน พบว่า “การเป็นฟรีแลนซ์หรือทำงานอิสระ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง” เชื่อมโยงกับการมีสุขภาพหัวใจที่ดีกว่าคนทำงานประจำอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอัตราโรคอ้วนที่ลดลง การเคลื่อนไหวร่างกาย-ออกกำลังกายมากขึ้น ไปจนถึงการนอนหลับที่ดีขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจทั้งสิ้น

แล้วทำไมการทำงานอิสระถึงส่งผลดีแบบนี้ในกลุ่มวัยทำงานผู้หญิง? และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานผู้ชาย? 

งานอิสระ VS งานประจำ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?

ทีมนักวิจัยของ UCLA อ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพและโภชนาการระดับชาติของสหรัฐฯ (NHANES) ซึ่งถือเป็นชุดข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพราะเก็บทั้งผลตรวจร่างกายจริง ข้อมูลสุขภาพ และแบบสอบถามเชิงลึกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ค่าดัชนีมวลกาย (BMI), ความดันโลหิต, ความถี่ในการออกกำลังกาย และรูปแบบการนอน แล้วนำมาวิเคราะห์จนสรุปผลการวิจัย ที่พบในกลุ่มผู้หญิงกลุ่มทำงานอิสระ ดังนี้ 

- มีโอกาสอ้วนต่ำกว่าผู้หญิงทำงานประจำ 7.4%
- เคลื่อนไหวน้อยหรือนั่งนาน น้อยกว่าผู้หญิงทำงานประจำ 7%
- นอนไม่พอ น้อยกว่าผู้หญิงที่ทำงานประจำ 9.4%

(ผลลัพธ์นี้ยังคงเหมือนเดิม แม้จะปรับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น อายุ การศึกษา รายได้ สถานภาพสมรส และการมีประกันสุขภาพ)

แต่ในกลุ่มวัยทำงานผู้ชาย กลับไม่พบประโยชน์ชัดเจนแบบเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มชายผิวดำและเชื้อสายฮิสแปนิก ผลกระทบด้านสุขภาพกลับไม่มี หรืออาจแย่ลงด้วยซ้ำ

ออฟฟิศทำร้ายใจ? วิจัยพบ งานอิสระเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่างานประจำ

ทำไมการทำงานอิสระถึงดีต่อหัวใจ โดยเฉพาะในผู้หญิง?

นักวิจัยชี้ว่า “อิสระในการควบคุมงานและเวลาของตัวเอง” คือหัวใจสำคัญ เพราะตามทฤษฎี job-demand-control model ชี้ว่า การมีอำนาจตัดสินใจในงานจะช่วยลดความเครียดสะสม และส่งผลดีต่อระบบร่างกาย

ดร.คิมเบอร์ลี นาเรน (Kimberly Narain) ผู้วิจัยหลักจากมหาวิทยาลัย UCLA อธิบายเรื่องนี้ว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานอิสระกับปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจดูจะชัดเจนกว่ามากในกลุ่มผู้หญิง นี่แสดงให้เห็นว่าเราต้องเข้าใจให้ลึกถึงผลกระทบของ ‘สภาพแวดล้อมในการทำงาน’ ต่อสุขภาพ” อีกทั้งงานวิจัยจาก Harvard และสถาบันอื่นๆ ก็พบเช่นเดียวกันว่า คนที่มี “อำนาจควบคุมงานสูง” มักมีสุขภาพหัวใจดีกว่าคนที่ไม่มีทางเลือกในงาน โดยเฉพาะในผู้หญิง

ลองนึกภาพวันทำงานของคนที่เป็นฟรีแลนซ์หรือเจ้าของกิจการ ไม่ว่าจะเป็น การมีเวลาได้เดินออกกำลังกายช่วงกลางวัน มีเวลาไปพบแพทย์ตามนัด หรือดูแลครอบครัวได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร มีเวลาทำอาหารกินเอง พักเบรกตามต้องการ ไม่ต้องรีบกินข้าวกล่องหน้าจอคอมฯ

รวมไปถึงปรับปริมาณงานให้เข้ากับระดับความเครียดในแต่ละวัน และวางตารางงานที่สอดคล้องกับจังหวะสุขภาพกาย-ใจของตัวเองได้ ฯลฯ ซึ่งแตกต่างจากพนักงานประจำ ที่มักกำหนดเวลางานชัดเจนในรอบวัน (9am to 5pm) ประชุมบ่อย และมีข้อจำกัดต่อการจัดตารางชีวิต

แล้วผู้ชายล่ะ? ทำไมไม่ได้ประโยชน์ในงานอิสระเท่าผู้หญิง?

งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า ผู้ชายไม่ได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพหัวใจจากงานอิสระในระดับเดียวกับผู้หญิง โดยเฉพาะในชายผิวดำและฮิสแปนิก ซึ่งบางรายกลับมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยนักวิจัยเสนอเหตุผลไว้หลายข้อ เช่น

1. อุปสรรคเชิงโครงสร้าง: ผู้ชายในกลุ่มชนกลุ่มน้อยอาจเผชิญความไม่มั่นคงทางรายได้ และเข้าถึงทรัพยากรสุขภาพได้น้อย

2. ลักษณะงาน: ผู้ชายอาจมีแนวโน้มทำงานเสริม (GIG side) หรือแรงงานอิสระที่ใช้แรงงานหนัก นอนน้อย หรือไม่มีเวลาพัก

3. เครือข่ายสังคม: งานวิจัยอื่นพบว่า ผู้หญิงมักมีเพื่อนหรือชุมชนที่คอยช่วยลดความเครียดจากการทำงานเดี่ยวได้ดีกว่า

ข้อค้นพบนี้สำคัญเพราะแสดงให้เห็นว่า “งานอิสระไม่ใช่ทางออกที่เหมาะกับทุกคน” และการส่งเสริมนโยบายด้านสุขภาพ ก็ควรมองถึงความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ และบริบทสังคมด้วย

ออฟฟิศทำร้ายใจ? วิจัยพบ งานอิสระเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่างานประจำ

นายจ้าง-บริษัท ปรับใช้ได้ เพื่อมอบความเป็นอยู่ที่ดีให้พนักงาน

แม้โรคหัวใจจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในผู้หญิงอเมริกัน และผู้คนทั่วโลก แต่ก็เป็นโรคที่ “ป้องกันได้” หากเราดูแลเรื่องน้ำหนัก การออกกำลัง และการนอน สำหรับองค์กรต่างๆ ที่กำลังมองหาวิธีการจัดการหรือนโยบายดีๆ สำหรับส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้พนักงานหญิงในบริษัท สามารถเริ่มได้จาก 4 ข้อแนะนำดังนี้ 

1. ให้ความยืดหยุ่นจริงจัง: โฟกัสที่ผลงาน ไม่ใช่จำนวนชั่วโมงหรือการมานั่งโต๊ะ

2. ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม: ไม่ใช่แค่แจกบัตรฟิตเนส แต่รวมถึงการให้เวลาไปตรวจสุขภาพ ดูแลจิตใจ และสร้างกิจวัตรที่ดีให้แก่พนักงาน

3. อบรมหัวหน้าให้ไว้วางใจลูกทีม: วัดผลจากคุณภาพงาน ไม่ใช่ “การโผล่หน้า” ไปที่ออฟฟิศ 

4. ลดความเหลื่อมล้ำ: ทำให้พนักงานทุกคนเข้าถึงสวัสดิการสุขภาพได้ ไม่ว่าจะเพศใดหรือพื้นเพแบบไหน

งานอิสระอาจเริ่มต้นไม่ง่าย ต้องเตรียมตัว 5 ข้อก่อนจะมุ่งเส้นทางนี้

ถ้าคุณเป็นฟรีแลนซ์ หรือกำลังคิดจะเริ่มเปลี่ยนจากงานประจำมาเดินในเส้นทางงานอิสระ ควรมีการเตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อม ไม่ใช่เปลี่ยนแบบปุ๊บปั๊บผู้เชี่ยวชาญแนะให้ลองทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อให้สุขภาพดีไปพร้อมกับอิสรภาพในการทำงาน

1. สร้างความมั่นคงทางการเงิน: เก็บเงินสำรองไว้เผื่อช่วงไม่มีงาน
2. ขยับร่างกายเป็นประจำ: วางตารางเบรกเดินเล่นหรือยืดเส้น
3. ปกป้องเวลานอน: อย่าทำงานดึกเกินไป และลดการใช้หน้าจอช่วงเย็น
4. กินอาหารมีคุณค่า: ใช้โอกาสจากการอยู่บ้านในการทำอาหารสุขภาพ
5. อย่าโดดเดี่ยว: สร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมอาชีพ หรือกลุ่มที่ช่วยซัพพอร์ตสุขภาพใจ

อ่านมาถึงตรงนี้ วัยทำงานหลายคนคงได้รู้แล้วว่า งานที่มีอิสระไม่ได้ช่วยแค่เรื่องประสิทธิภาพหรือความพอใจในการทำงานเท่านั้น แต่อาจช่วยชีวิตคุณได้จริงๆ ถ้าคุณเคยคิดจะทำงานเสริม ออกมาเป็นฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่ขอความยืดหยุ่นเพิ่มในงานประจำ บางทีตอนนี้ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดแล้ว ที่จะหันมาดูแล "(หัว)ใจ" ให้ดีกว่าเดิม! 

 

อ้างอิง: Forbes, BMC PublicHealthWorld-heart-federation, กรมควบคุมโรค