อยากเป็นนายตัวเอง! Gen Y Z วางแผนลาออกสิ้นปีนี้ อยากมีอิสระในงาน

Gen Z Gen Y เขย่าตลาดแรงงาน เกือบ 25% วางแผนลาออกปีนี้ เพื่อทำธุรกิจของตัวเอง หวัง “รายได้สูงขึ้น” และ “อิสระในชีวิตการทำงาน” หนีจากงานที่ไร้ความหมาย สภาพแวดล้อมที่กดดัน
KEY
POINTS
- Gen Z และมิลเลนเนียล (Gen Y) กำลังเปลี่ยนเกมตลาดแรงงาน เกือบ 1 ใน 4 ของพวกเขาวางแผนลาออกภายในปีนี้ เพื่อเป็นผู้ประกอบการ แรงจูงใจหลักคือ “รายได้สูงขึ้น” และ “อิสระในชีวิตการทำงาน”
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ คนรุ่นใหม่ไม่ได้แค่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่กำลังหนีจากงานที่ไร้ความหมาย ค่าจ้างต่ำ และสภาพแวดล้อมที่กดดัน จนอึดอัด รู้สึกไม่มีศักดิ์ศรี
- ผลกระทบต่อองค์กรเริ่มชัด หากระบบจ้างงานไม่ปรับตัว องค์กรอาจสูญเสียคนเก่ง เพราะคนรุ่นใหม่พร้อม “เดินออก” หากงานไม่ตอบโจทย์ชีวิต ทั้งในแง่คุณค่างาน ความยืดหยุ่น และการพัฒนาอาชีพ
โลกการทำงานสมัยนี้ มีแนวโน้มว่าคนรุ่นใหม่จะหันหลังให้กับระบบงานประจำ และเลือกทางเดินสายผู้ประกอบการมากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อนๆ ยืนยันจากผลสำรวจหนึ่งค้นพบว่า คนรุ่นใหม่ในสหรัฐกว่า 1 ใน 4 วางแผนลาออก เพื่อไปเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ปรากฏการณ์นี้กำลังเขย่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ และอาจเปลี่ยนโฉมโมเดลการจ้างงานแบบเดิมที่ยึดติดกับเวลาทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น (9 to 5)
ผลสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจโดย SideHustles.com พบว่า คนทำงานรุ่น Gen Z และมิลเลนเนียล หรือ Gen Y กว่า 25% มีแผนจะลาออกจากงานภายใน 12 เดือนข้างหน้า เพื่อเดินหน้าทำธุรกิจของตัวเอง
เทรนด์นี้กำลังสะท้อนความต้องการทำงานที่มีอิสระ และอยากหาความหมายในงานที่ทำ การพัฒนาทักษะ แรงจูงใจของพนักงาน ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่อการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ในปี 2024 ที่ผ่านมา Gen Z เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มแรงงานหลักในตลาดแรงงานแซงหน้าชาวเบบี้บูมเมอร์ การเปลี่ยนผ่านนี้จึงน่าจับตามองอย่างมาก
ภาพรวมตลาดงาน 79% ของคนทำงานประจำ อยากลาออก?
ผลสำรวจของ SideHustles.com ในเดือนเมษายน 2025 พบว่า 79% ของชาวอเมริกันที่มีงานประจำทำ สนใจจะลาออกเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกลุ่ม Gen Z และมิลเลนเนียล โดย 13% ของ Gen Z และ 11% ของมิลเลนเนียล วางแผนลาออกภายใน 1 ปี ขณะที่กลุ่มเบบี้บูมเมอร์และ Gen X มีแนวโน้มลาออกน้อยกว่าชัดเจน
ทั้งนี้ ตามรายงานยังพบว่า แรงจูงใจหลักที่ทำให้ Gen Z อยากลาออกคือ พวกเขาหวังรายได้ที่สูงขึ้นกว่างานประจำ (มากกว่า 50%) เหตุผลรองลงมาคือ พวกเขาคาดหวังความหมายและอิสระในการทำงาน (46%) ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม Gen X (43%) และมิลเลนเนียล (35%)
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ไบรอัน ดริสคอลล์ (Bryan Driscoll) ที่ปรึกษาทรัพยากรบุคคล ให้สัมภาษณ์กับ Newsweek ว่า “การกระโดดออกจากงานแบบนี้ทำได้ง่ายกว่าเมื่อคุณยังหนุ่มสาว ไม่มีลูก และมีเงินสำรอง เช่น รายได้ของคู่ชีวิต หรือไม่มีภาระผูกพันมากนัก... แต่ไม่ใช่ทุกคนมีโอกาสแบบนั้น นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความทะเยอทะยาน แต่มันสะท้อนว่าใครมีสิทธิ์หลุดพ้นจากระบบที่ไม่ยุติธรรม และใครยังติดอยู่ในกับดัก”
ไม่ได้รับการสนับสนุนในอาชีพ คือ อีกหนึ่งสาเหตุทำคนรุ่นใหม่อยากออกจากระบบ
ในทำนองเดียวกัน ข้อมูลจากรายงาน Freelance Forward ของ Upwork ยังพบด้วยว่า 70% ของแรงงาน Gen Z ทั่วโลก กำลังทำงานฟรีแลนซ์ หรือมีแผนจะออกจากงานประจำเพื่อไปทำฟรีแลนซ์ ซึ่งสะท้อนความคิดแบบผู้ประกอบการที่แพร่หลายมากขึ้นในคนรุ่นนี้
อีกหนึ่งเหตุผลที่หลายคนตัดสินใจลาออกคือ “ไม่ได้รับการสนับสนุนในอาชีพ” โดยมีเพียง 21% เท่านั้นที่รู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างเต็มที่จากนายจ้าง โดยเฉพาะ Gen Z ซึ่งให้ความสำคัญกับการมีเมนเทอร์หรือการพัฒนาอาชีพ มากกว่ากลุ่มอื่น และ 1 ใน 4 บอกว่า หากพวกเขามีเมนเทอร์ในที่ทำงาน อาจทำให้พวกเขาทบทวนการลาออกใหม่
แต่อย่างไรก็ตาม ความกังวลก็ยังมีอยู่ แม้หลายคนอยากเริ่มต้นธุรกิจ แต่ก็ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ลังเล เช่น
- ความไม่มั่นคงทางการเงิน (71%)
- กลัวล้มเหลว (53%)
- ความจำเป็นต้องมีประกันสุขภาพ (41%)
วัยทำงานต้องการมากกว่าเงินเดือน อยากทำงานที่มีความหมาย ยืดหยุ่นได้
ดรูว์ พาวเวอร์ส (Drew Powers) ผู้ก่อตั้ง Powers Financial Group หนึ่งในตัวแทนผู้ประกอบการ บอกว่า “หลังยุคโควิด หลายคนต้องการมากกว่าแค่เงินเดือนในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นความหมาย ความยืดหยุ่น หรือรายได้ที่มากขึ้น ซึ่งหลายอย่างหาได้จากการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่สิ่งที่คนอาจไม่รู้คือ ทั้งหมดนั้นใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องชั่วข้ามคืน”
ด้าน อเล็กซ์ บีน (Alex Beene) ผู้สอนด้านการเงินที่มหาวิทยาลัย Tennessee at Martin เสริมว่า “งานพิเศษและงานเสริมที่ทำรายได้มากกว่างานหลัก กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่ม Gen Z และมิลเลนเนียล หลายคนเริ่มจากงานเสริมเล็กๆ จนกลายเป็นธุรกิจเต็มตัว และเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นเดียวกันที่อยากเติบโตในธุรกิจและร่ำรวย”
ขณะที่ในความเห็นของ ไบรอัน ดริสคอลล์ สะท้อนในอีกมุมหนึ่งว่า “Gen Z และมิลเลนเนียลไม่ได้อยากเป็นมหาเศรษฐีขนาดนั้นหรอก พวกเขาแค่อยากจะหนีจากงานที่แย่ ผู้บริหารที่เป็นพิษ ค่าแรงต่ำ และระบบที่พร้อมจะทิ้งพวกเขาทันทีที่รีดแรงงานได้พอ เมื่อที่ทำงานไม่ให้ศักดิ์ศรีหรือความยืดหยุ่น คนทำงานก็ต้องหาทางรอด และตอนนี้หนทางนั้นคือการสร้างงานของตัวเอง”
ส่วน เควิน ธอมป์สัน (Kevin Thompson) ซีอีโอของ 9i Capital Group เสริมประเด็นนี้ไว้ว่า “คนรุ่นใหม่เห็นพ่อแม่ทำงานหนักมาตลอดชีวิต โดยแทบไม่มีอิสระ หรืออะไรตอบแทนมากนัก แต่ Gen Z มีเวลาเป็นแต้มต่อ พวกเขายังลองผิดลองถูกได้ และไม่ได้แค่อยากสร้างธุรกิจธรรมดา แต่คือสิ่งที่มีความหมายและสร้างผลกระทบต่อโลก”
อย่างไรก็ตาม ในรายงานข้างต้นชี้ชัดว่าเทรนด์การลาออกของ Gen Z และมิลเลนเนียล เพื่อออกไปเป็นผู้ประกอบการจะยังคงแรงขึ้นตลอดปีหน้า (ปี 2026) และจะส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์ของบริษัทในการจ้างงานและรักษาพนักงาน ส่งผลให้แนวโน้มของตลาดแรงงานยังคงเปลี่ยนโฉมไปจากปีนี้แน่ๆ
ธอมป์สัน สรุปว่า ถ้าระบบนายจ้าง-ลูกจ้างแบบเดิมยังเปลี่ยนแปลงไม่หยุด องค์กรก็ต้องจ่ายมากขึ้นและตอบสนองความต้องการพนักงานมากขึ้น เพราะ Gen Z หรือแม้แต่ Gen Alpha ไม่ได้กลัวการทำงาน พวกเขาแค่ไม่ยอมทำงานที่ไม่สอดคล้องกับคุณค่าในชีวิตของพวกเขา ซึ่งก็คือ การมองหางานที่มีเป้าหมาย มีอิสระ และพร้อมจะเดินออกไปหากไม่ได้รับสิ่งนั้นจากบริษัทที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน
อ้างอิง: Newsweek, Sidehustles