คนทำงานที่บ้าน เหงากว่าคนเข้าออฟฟิศ โดดเดี่ยว เสี่ยงหมดไฟสูง

คนทำงานที่บ้าน เหงากว่าคนเข้าออฟฟิศ โดดเดี่ยว เสี่ยงหมดไฟสูง

ทำงานจากบ้านเร่งความเหงา? 4 สาเหตุหลักที่ทำให้คนทำงานระยะไกล (Remote work, Work from home) รู้สึกโดดเดี่ยว เสี่ยงหมดไฟ พร้อมรู้วิธีรับมือแบบได้ผล

KEY

POINTS

  • รู้หรือไม่? คนทำงานระยะไกล (Remote work, WFH) แม้จะประชุมออนไลน์กับทีมบ่อย แต่การไม่มีบทสนทนาอื่นๆ เลย นอกจากเรื่องงาน เช่น ทักทายหรือหยอกล้อกัน ทำให้รู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม
  • เส้นแบ่งชีวิตงาน-ชีวิตส่วนตัวเลือนหาย การทำงานที่บ้านโดยไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ทำให้พนักงานรู้สึกว่า งานกลืนเวลาส่วนตัวจนหมด เร่งให้เกิดความเครียด สุขภาพจิตแย่ลง
  • ไม่ได้รับพลังงานดีๆ จากทีม เมื่อทำงานตามลำพัง เพราะไม่มีคนรอบข้างคอยกระตุ้นหรือแชร์พลังบวก แบบที่ได้จากออฟฟิศ อาจทำให้รู้สึกหมดไฟ ไม่อินกับงาน และขาดความรู้สึกมีส่วนร่วม

แม้การทำงานจากระยะไกล หรือ Remote work จะให้ทั้งอิสระและความยืดหยุ่น แต่ความรู้สึกเหงาและแยกตัวจากผู้คนกลับเป็นปัญหาที่ วัยทำงานหลายคนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตนเอง ชวนส่องสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนทำงานจากบ้านหรือจากสถานที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่ออฟฟิศจะรู้สึกโดดเดี่ยว มากกว่าคนที่เข้าออฟฟิศเป็นประจำ

ทำไมการทำงานจากบ้านหรือจากที่อื่นๆ นอกออฟฟิศ จึงรู้สึกเหงา?

ก่อนหน้านี้ การทำงานจากระยะไกล (remote work) ได้กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะมันมาพร้อมกับความยืดหยุ่นของชั่วโมงทำงาน การควบคุมเวลาได้ด้วยตัวเอง และการหลีกเลี่ยงการเดินทางฝ่ารถติดที่แสนเหนื่อยล้า แต่ในทางกลับกัน ความอิสระนี้ก็มักแฝงมาด้วยภัยความเหงาโดยไม่ทันรู้ตัว หลายคนที่เริ่มต้นทำงานจากบ้านอาจไม่คิดว่าการไม่มีเพื่อนร่วมงานอยู่รอบตัวจะส่งผลต่อสภาพจิตใจได้มากขนาดนี้ 

จากผลสำรวจของ Gallup พบว่า 25% ของพนักงานที่ทำงานแบบ Remote Work, Work From Home เต็มเวลา มักจะรู้สึกเหงาหรือแยกตัวออกจากคนอื่น ในขณะที่กลุ่มที่ทำงานประจำที่ออฟฟิศมีเพียง 16% เท่านั้นที่รู้สึกแบบเดียวกัน ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า ‘การทำงานจากบ้าน’ อาจไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แบบเสมอไป โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์ทางสังคมและสุขภาพจิต

ลองมาดูกันว่า มีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้การทำงานแบบ Remote Work ถึงทำให้ชีวิตผู้ยุคนี้รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้น และจะมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกขาดหายนี้ได้

1. ขาดการปฏิสัมพันธ์แบบเจอหน้ากันตัวต่อตัว

สิ่งหนึ่งที่หายไปทันทีเมื่อย้ายจากโต๊ะทำงานในออฟฟิศ มานั่งหน้าคอมที่บ้าน ก็คือ ‘ช่วงเวลาธรรมดาๆ ที่เคยทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม’ ไม่ว่าจะเป็นการทักทายกันระหว่างเดินไปตู้กดน้ำ ช่วงพักกินข้าว หรือบทสนทนาเล็กๆ ระหว่างวัน สิ่งเหล่านี้อาจดูไม่สำคัญนัก แต่จริงๆ แล้วมันคือกาวใจที่เชื่อมโยงเรากับเพื่อนร่วมงาน และสร้างความรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างๆ เราเสมอ

ในโลกของการทำงานออนไลน์ ถึงจะมีวิดีโอคอลประชุมกันตลอดทั้งวัน แต่การสื่อสารมักถูกจำกัดไว้เพียงเรื่องงาน ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยกับหน้าจอมากกว่าการสื่อสารกับ “คนจริงๆ”

วิธีแก้ไข: ลองสร้างพื้นที่แห่งความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการนัดเจอกันแบบตัวต่อตัวในร้านกาแฟ ถ้าคุณและเพื่อนร่วมทีมอยู่ใกล้กัน หรือจัดกิจกรรมออนไลน์ที่ไม่เกี่ยวกับงาน เช่น "Zoom กาแฟเช้าวันศุกร์" อาหารกลางวันธีมเมนูประจำชาติ หรือเกมตอบคำถามกลุ่มผ่านวิดีโอ การจัดเวลาสำหรับเรื่องไม่เป็นทางการแบบนี้จะช่วยชุบชีวิตให้ทีมของคุณกลับมามีพลัง และทำให้คุณรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอีกครั้ง

2. เส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงาน-ชีวิตส่วนตัว เริ่มเลือนลาง

หนึ่งในข้อดีของการทำงานจากบ้าน คือคุณไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อฝ่ารถติด แต่นั่นก็หมายความว่า “บ้าน” ของคุณอาจกลายเป็น “ออฟฟิศ” ไปในตัว พื้นที่ที่เคยใช้พักผ่อนกลับกลายเป็นที่ประชุม ที่คิดงาน และที่ตอบอีเมลไม่รู้จบ

เมื่อไม่มีกรอบเวลางานหรือสถานที่ทำงานชัดเจน หลายคนจึงพบว่าตัวเองกำลังทำงานข้ามเวลาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกว่าไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบของวันทำงานสามารถนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและหมดไฟอย่างช้าๆ

วิธีแก้ไข: สร้างขอบเขตระหว่าง “ชีวิตการทำงาน” กับ “ชีวิตของเราเอง” ไม่ว่าจะเป็นการจัดมุมเล็กๆ ให้เป็นพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะ หรือการกำหนดเวลาเริ่มงาน-เลิกงานให้ชัดเจน เช่น ลุกจากโต๊ะแล้วเดินเล่นเหมือนกำลังกลับบ้าน หรือฟังพอดแคสต์ที่ช่วยเปลี่ยนโหมดจาก ‘โหมดงาน’ เป็น ‘โหมดพัก’ อย่าลืม! ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัวของคุณ เช่น มุมอ่านหนังสือ, โต๊ะกินข้าวกับคนในบ้าน, มุมเดินเล่น ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะช่วยย้ำเตือนว่าพื้นที่ของชีวิตคุณยังมีความสุข และไม่ควรถูกกลืนไปกับงาน

คนทำงานที่บ้าน เหงากว่าคนเข้าออฟฟิศ โดดเดี่ยว เสี่ยงหมดไฟสูง

3. ขาดพลังงานร่วมจากทีมแบบที่เคยสัมผัสในออฟฟิศ

เคยไหม... แค่ได้เข้าออฟฟิศ เห็นเพื่อนร่วมงานนั่งทำงานข้างๆ ได้ยินเสียงคนคุยงาน ก็เหมือนมีพลังบางอย่างไหลเข้าสู่ตัวเรา? บรรยากาศแบบนั้นคือสิ่งที่การทำงานจากบ้านไม่สามารถทดแทนได้ เมื่อไม่มีทีมคอยกระตุ้น คอยแชร์ไอเดียหรือรับฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งงานที่เราทำก็อาจกลายเป็นเพียงการทำเพื่อให้เสร็จ มากกว่าการรู้สึกว่าเรากำลังมีส่วนร่วมในบางสิ่งที่ใหญ่กว่า

วิธีแก้: ทางเลือกหนึ่งคือการเข้าร่วม “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ไม่ว่าจะเป็น WeWork หรือพื้นที่ทำงานร่วมอื่นๆ ที่คุณสามารถเปลี่ยนบรรยากาศ พบผู้คนใหม่ๆ และรับพลังงานจากคนที่มีเป้าหมายคล้ายกัน ถ้าเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นปัญหา อาจลองพูดคุยกับหัวหน้าเพื่อขอสนับสนุนค่าใช้จ่ายในฐานะสวัสดิการของคนทำงานแบบรีโมต

อีกแนวทางหนึ่งคือการจัด "working session" ร่วมกับทีม เช่น การระดมสมองแบบเรียลไทม์ หรือทำงานเงียบๆ ไปด้วยกันผ่าน Zoom สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณรู้สึกว่าคุณยังเป็นฟันเฟืองสำคัญของทีม แม้จะนั่งห่างกันคนละมุมโลกก็ตาม

4. ไม่มีพื้นที่พูดคุยเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องงาน

ในการทำงานแบบ Remote work หลายครั้งที่บทสนทนาในแต่ละวันถูกย่อเหลือเพียงการเคลียร์งาน นัดประชุม และอัปเดตโปรเจกต์ ทุกอย่างถูกจัดเรียงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่กลับไม่มีพื้นที่สำหรับการคุยเล่นกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยเติมเต็มความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน

การขาดบทสนทนาที่ไม่มีวาระ อาจทำให้เรารู้สึกว่า “เราติดต่อกับคนอื่นแค่เพื่อให้งานเดิน” และเมื่อเวลาผ่านไป เราอาจรู้สึกว่าชีวิตในแต่ละวันนั้นว่างเปล่าแม้จะเต็มไปด้วยกิจกรรม

วิธีแก้ไข: ลองเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารเล็กน้อย เช่น เปิดการประชุมด้วยการทักทายเรื่องส่วนตัวเล็กๆ เช่น ถามว่าเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไปเที่ยวไหนกันมา? หรือสร้างช่อง Slack สำหรับแชร์เพลงประจำวัน ซีรีส์แนะนำ หรือรูปสัตว์เลี้ยงของเพื่อนร่วมทีม วิธีนี้จะช่วยให้บทสนทนามีชีวิตชีวามากขึ้น และทำให้คุณรู้สึกใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานแม้จะไม่ได้เจอหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม การที่คนเราเกิดความเหงาไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอ แต่มันคือธรรมชาติของมนุษย์ หากคุณกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวในช่วงที่ทำงานจากบ้าน อย่าด่วนโทษตัวเอง ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้แปลว่าคุณไม่มีความสามารถ แต่มันคือผลข้างเคียงธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการ “ความเชื่อมโยง”

โชคดีที่คุณสามารถเลือกเติมสิ่งที่ขาดหายไปได้ ด้วยการปรับวิธีใช้ชีวิต ทำกิจกรรมเล็กๆ ที่ช่วยสร้างความหมาย และออกแบบการทำงานใหม่ให้รองรับทั้งประสิทธิภาพและสุขภาพจิตในระยะยาว เพราะการทำงานจากระยะไกลไม่จำเป็นต้องเหงาเสมอไป ท้ายที่สุดแล้วคุณคือคนกำหนดชีวิตการทำงานของตัวเอง และคุณมีพลังจะเปลี่ยนแปลงมันได้

 

อ้างอิง: ForbesGallup