One Evening After the War ตามติดชีวิตทหารกัมพูชาไร้บ้าน l หนังเล่าโลก

One Evening After the War ตามติดชีวิตทหารกัมพูชาไร้บ้าน l หนังเล่าโลก

เมื่อความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่หนังเล่าโลกนึกถึง (แม้จะไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง) คือภาพยนตร์เรื่อง One Evening After the War ผลงานการกำกับของริธี ปานห์ (Rithy Panh) ออกฉายเมื่อปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่การเมืองกัมพูชาเข้ารูปเข้ารอย

One Evening After The War เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 90 ว่าด้วยชีวิตของสะวันนา อดีตทหารหนุ่มที่กลับมาพนมเปญ หลังจากไปรบกับเขมรแดงอยู่หลายปีจนได้รับชัยชนะ เมื่อกลับมา เขาพบว่าแทบจะไม่มีอะไรเหลือให้เขาอีก บ้านก็ไม่มี เงินก็ไม่มี งานก็ไม่มี มีเพียงคุณลุง ญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวที่ยังพอช่วยเหลือเขาได้ ต่อมาสะวันนาตกหลุมรักกับสเรยเปือว สาวบาร์ที่ต้องขายบริการเพื่อชดใช้หนี้และหาเงินมาจุนเจือครอบครัว สเรยเปือวเองก็เห็นใจชะตากรรมของสะวันนา เพราะตนเองก็สูญเสียพี่ชายไปในสงครามเหมือนกัน

ชีวิตรักของสะวันนากับสเรยเปือวเหมือนจะไปได้ดี แต่จู่ๆ พวกเขาก็ถูกไล่ออกจากห้องเช่าจนต้องระเห็จไปอยู่ริมทางรถไฟ หนำซ้ำยังต้องเผชิญวิบากกรรมอย่างหนัก สเรยเปือวยังคงทำงานบาร์เพื่อหาเลี้ยงทั้งคู่ แต่กลับถูกคนรักสกัดดาวรุ่ง ยื่นคำขาดไม่ให้ไปทำงานเป็นสาวบริการอีก สะวันนานั้นแม้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะหางานสุจริตมาเลี้ยงดู แต่สุดท้ายก็หางานทำเป็นหลักเป็นแหล่งไม่ได้ ต้องไปรับจ้างชกมวย เข้าสู่วังวนการทุจริตจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมในตอนท้ายของภาพยนตร์

หนังเล่าโลกไม่เคยรู้จักภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน จนกระทั่งมิตรสหายชาวกัมพูชาแนะนำให้ดูเรื่องนี้ เมื่อดูจบแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “ซึม” ไปหลายวัน

ซึมที่หนึ่ง คือ ซึมเศร้ากับชะตากรรมของแม่สาวสเรยเปือว ที่ต้องทนรับผลจากการกระทำที่ตนเองไม่ได้ก่อ แต่เป็นผลมาจากการกระทำของชายคนรัก ในฐานะที่หนังเล่าโลกเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ก็เลยเห็นใจสเรยเปือวได้ไม่ยาก มิตรสหายชาวกัมพูชาพูดเสมอว่า สังคมกัมพูชาเป็นสังคมที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม ผู้หญิงจำนวนมากจึงติดอยู่ในกรอบของสังคม ที่ต้องแบกรับหน้าที่ดูแลครอบครัว จนต้องทำงานขายบริการที่สังคมไม่ยอมรับ และยังต้องประพฤติตนเป็น “ภรรยา” ที่ดี อยู่ภายใต้การดูแลของสามี ซึ่งถ้าจะมองในบริบทในปัจจุบัน สเรยเปือวไม่จำเป็นต้องตกระกำลำบากแบบนี้เลย

ซึมที่สอง คือ ชีวิตรันทดของพ่อหนุ่มสะวันนา ที่โตมาในยุคสงครามกลางเมืองและยังต้องเผชิญกับความลำบากแม้สงครามจะสิ้นสุดแล้วก็ตาม หลังจากได้รับชัยชนะ สะวันนาและสหายร่วมรบหวังว่าจะได้ชีวิต “ธรรมดา” ที่สงบสุขกลับมา แต่ท้ายสุดแล้วเขาไม่เคยได้สัมผัสมัน สิ่งเดียวที่เขาได้รับตลอดชีวิตคือ “ผลกระทบจากสงคราม”

ซึมที่สาม คือ แม้จะผ่านมากี่สิบปี แต่ไฟสงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ แค่เปลี่ยนจากศัตรูกลุ่มหนึ่งไปเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือสามัญชนตาดำๆ เหมือนเดิม

แม้ไฟสงครามในภาพยนตร์เรื่อง One Evening After the War จะเป็นคนละไฟสงครามกับ “ไทย-กัมพูชา” ในวันนี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเป็นฮีโร่แห่งชาติของฮุนเซนในวันนั้น ยังคงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน เป็นการปลุกผีชาตินิยมที่คนทั้งสองชาติต้องมารับผลกรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อ

ระหว่างที่ติดตามสถานการณ์ “ไทย-กัมพูชา” อย่างจดจ่อ หนังเล่าโลกหวังว่าจะไม่ต้องมี “ซึมที่สี่” นั่นคือ ซึมซับความเกลียดชังเพื่อนบ้านสุดโต่ง ประหนึ่งว่าเราไม่ได้เรียนรู้ความสูญเสียจากสงครามในภูมิภาคเลย