เทรนด์ Ghostworking ทำเป็นงานยุ่ง แต่จริงๆ แอบหางานใหม่ในออฟฟิศ

เทรนด์ Ghostworking ทำเป็นงานยุ่ง แต่จริงๆ แอบหางานใหม่ในออฟฟิศ

รู้จัก Ghostworking เทรนด์ใหม่ของโลกการทำงาน ที่ล้ำหน้าไปไกลกว่า Quiet quitting เมื่อพนักงานแกล้งเป็นทำงานในเวลางาน แต่ที่จริงกลับแอบหางานใหม่ไปด้วย

KEY

POINTS

  • Ghostworking คือการแกล้งทำเป็นงานยุ่ง เช่น เข้าระบบงานค้างไว้ ถือเอกสารประชุมเดินไปมา แต่แท้จริงแล้วกำลังแอบหางานใหม่ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความไม่ไว้วางใจระหว่างพนักงานกับองค์กร 92% ของคนทำงานยอมรับว่าเคยทำแบบนี้ในเวลางาน
  • พฤติกรรมแกล้งทำงานไม่ได้เกิดเพราะขี้เกียจ แต่เกิดจากแรงกดดันและการหมดไฟ ผลสำรวจพบว่า 58% ของพนักงานทำเป็นยุ่งเป็นประจำ เพราะรู้สึกถูกคาดหวังให้ "ดูเหมือนทำงาน" ตลอดเวลา จึงต้องหาวิธีเอาตัวรอด
  • แม้บบริษัทมองว่าการจับตาดูจะทำให้พนักงานขยันขึ้น แต่ทางออกที่ยั่งยืนกว่า คือการฟังเสียงพนักงาน สร้างพื้นที่พูดคุยอย่างปลอดภัย เปิดโอกาสให้เติบโต และชื่นชมผลงานจริง 

เทรนด์การทำงานแปลกๆ เริ่มโผล่มาให้เห็นมากขึ้นในโลกการทำงานยุคนี้ โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ระบบตรวจจับการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด ก็ยิ่งพบว่า มันทำให้พนักงานพยายามหาช่องทางหลบหลีกการตรวจสอบเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งนี้กำลังบ่อนทำลายองค์กร เพราะมันสร้างความไม่วางใจกันและกันในบริษัท 

ล่าสุด..มีอีกหนึ่งเทรนด์ใหม่ที่เริ่มพบเห็นได้มากขึ้นในพนักงานออฟฟิศ นั่นคือ "Ghostworking" หมายถึง การแกล้งทำเป็นงานยุ่ง หรือแสร้งว่ากำลังทำงานอยู่ ทั้งที่จริงแล้วแทบไม่ได้ผลิตผลงานอะไรเลย พฤติกรรมนี้ไม่ใช่พฤติกรรมใหม่ในที่ทำงาน แต่มันกำลังกลายเป็นเทรนด์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างมากขึ้นเรื่อยๆ

ยืนยันจากผลสำรวจล่าสุดของ Resume Now เกี่ยวกับพฤติกรรม Ghostworking ซึ่งระบุว่า ช่วงนี้มีพนักงานจำนวนมากกำลัง “แกล้งทำงาน” ในลักษณะที่สร้างภาพว่ากำลังยุ่ง ทั้งที่จริงแล้วกำลังใช้เวลานั้นไปกับการหางานใหม่ ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้สำรวจจากพนักงานอเมริกันจำนวน 1,127 คนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 เพื่อดูว่าพวกเขามีพฤติกรรมเสียเวลาอย่างไร ถูกดึงความสนใจจากอะไร และมีแนวโน้มจะผัดวันประกันพรุ่งในการทำงานมากแค่ไหน

 

"เกมจิตวิทยา" ใครชนะ? เมื่อคนทำงานเริ่มแอบหางานใหม่ในเวลางาน

จริงๆ แล้วพฤติกรรมลักษณะนี้มีให้เห็นมานานแล้ว แต่ว่าจะมีความแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามยุคสมัย ในอดีตพฤติกรรมนี้เคยถูกเรียกว่าการแสดงละครความขยัน (Productivity Theater) หรือการลาออกเงียบๆ (Quiet Quitting) แต่ในเวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้ พัฒนามาสู่เทรนด์ Ghostworking ที่กลายเป็นอะไรที่ล้ำหน้าไปไกลกว่านั้น

ไม่ใช่แค่แกล้งทำงาน แต่ถึงขั้นใช้เวลางานในออฟฟิศ ไปกับการหางานใหม่อย่างจริงจัง ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว กำลังกลายเป็นตัวอย่างหนึ่งของ "เกมจิตวิทยา" ระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร โดยทั้งสองฝ่ายต่างใช้กลยุทธ์ซ่อนเร้นในการเอาตัวรอดในโลกการทำงานยุคใหม่ นับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เป็นต้นมา บริษัทจำนวนไม่น้อยใช้วิธีแบบเงียบๆ เพื่อควบคุมแรงงาน เช่น การตัดลดตำแหน่งโดยไม่แจ้งตรงๆ (Quiet Cutting) หรือการใช้ระบบติดตามพฤติกรรมของพนักงานแบบละเอียดมากขึ้น 

ขณะที่ทางฝั่งพนักงานเองเมื่อรู้ว่าบริษัทแอบสอดส่องการทำงาน ก็ทำให้รู้สึกว่าบริษัทก้าวก่ายและควบคุมเกินไป พนักงานจึงตอบโต้ด้วยพฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายแต่สะท้อนความไม่ไว้วางใจออกไปเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ 

- การขยับเมาส์ในระบบเข้างานออนไลน์  เพื่อให้ระบบคิดว่ายังทำงานอยู่ แต่ไม่ได้ทำงานจริง (Mouse Jiggling)
- การแวะเข้าออฟฟิศแค่แตะบัตรแล้วหายตัว (Coffee Badging)
- การแอบเที่ยวในวันทำงาน โดยเฉพาะพนักงานทำงานจากระยะไกลที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศ (Quiet Vacationing) 

แกล้งทำเป็นงานยุ่งไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เกิดจากแรงกดดันในที่ทำงาน

แม้หลายองค์กรจะพยายามหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ข้อมูลจากการสำรวจกลับสะท้อนอีกด้านหนึ่งว่า การแกล้งทำเป็นยุ่งไม่ได้เกิดจากความเกียจคร้าน หากเป็นผลจากแรงกดดันที่ต้องแสดงตัวว่ากำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานจากระยะไกลที่ไม่มีใครคอยเห็นหน้าตลอดเวลา ทั้งนี้

จากผลสำรวจพบว่า 58% ของพนักงานยอมรับว่าแกล้งทำงานเป็นประจำ ขณะที่ 34% บอกว่า เคยแกล้งทำงานเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าเพราะรู้สึกกดดันว่าต้องดูยุ่ง ไม่ใช่เพราะอยากทำงานจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อทีมวิจัยสอบถามพนักงานกลุ่มตัวอย่างถึงวิธีที่พวกเขาใช้ เพื่อสร้างภาพว่าตนกำลังทำงาน พบว่ามีหลากหลายวิธี ได้แก่ 

23% เดินรอบออฟฟิศพร้อมถือสมุดโน้ตเพื่อให้ดูยุ่ง
22% พิมพ์ข้อความไร้สาระลงไปในแอปต่างๆ เพื่อให้ดูเหมือนกำลังพิมพ์งาน
15% ทำทีว่ากำลังคุยโทรศัพท์ ทั้งที่ไม่ได้คุยจริง
15% เปิดสเปรดชีตทิ้งไว้แต่แอบท่องเว็บเรื่องส่วนตัว
12% ถึงขั้นนัดประชุมปลอมเพื่อเลี่ยงการทำงานจริง

ที่น่าสนใจคือ พนักงานที่ทำงานจากบ้านมีแนวโน้มแกล้งทำงานมากกว่าคนที่ไปออฟฟิศ โดย 43% ของคนทำงานทางไกลยอมรับว่า เสียเวลาไปกับกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้อง เทียบกับ 37% ของคนที่เข้าออฟฟิศ

นักวิจัยเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนปัญหาช่องว่างระหว่างความคาดหวังของบริษัทกับระดับความผูกพันของพนักงานอย่างรุนแรง และเมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป ก็จะพบตัวเลขที่น่าตกใจยิ่งกว่า

หางานใหม่ในเวลางานของออฟฟิศปัจจุบัน ความลับที่ไม่ลับอีกต่อไป!

พฤติกรรม Ghostworking ไม่ได้หยุดอยู่แค่การแกล้งทำเป็นยุ่ง แต่ล้ำไปถึงการหางานใหม่ขณะทำงานในบริษัทเดิม โดยผลสำรวจพบว่า 92% ของพนักงานยอมรับว่าเคยหางานใหม่ในเวลางาน (55% ทำเป็นประจำ, 37% ทำเป็นบางครั้ง) สำหรับพฤติกรรมที่พบบ่อย ได้แก่ 

24% ใช้เวลางานในการแก้ไขเรซูเม่
23% ใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทสมัครงานใหม่
20% รับโทรศัพท์จากนายหน้าหางานในที่ทำงาน
19% แอบออกไปสัมภาษณ์งานระหว่างวัน

คีธ สเปนเซอร์ (Keith Spencer) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจาก Resume Now มองว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นอาการหนึ่งของภาวะหมดไฟและการขาดการสื่อสารที่ดีในที่ทำงาน “หลายคนไม่ได้อยากแกล้งทำงาน แต่รู้สึกว่าจำเป็นต้องแสดงออกว่าตนกำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา” เขากล่าว พร้อมแนะนำให้องค์กรหันมาใส่ใจปัญหาจากต้นตอที่แท้จริง เช่น การประชุมที่ไม่จำเป็น ระบบสื่อสารที่ไม่ชัดเจน และวัฒนธรรมองค์กรที่วัดผลจากความ "ดูยุ่ง" มากกว่าผลงานจริง

องค์กรควรรับมือพฤติกรรม Ghostworking อย่างไร

แม้พฤติกรรม Ghostworking จะดูเหมือนกันหมดจากภายนอก แต่ในความเป็นจริงแต่ละคนมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป และการด่วนตัดสินว่าใครกำลัง “แกล้งทำงาน” โดยไม่เข้าใจบริบท อาจยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ดังนั้น องค์กรควรเริ่มต้นจากการเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกคนที่แกล้งทำเป็นยุ่งคือคนที่ไม่มีผลงาน บางคนอาจเป็นพนักงานระดับท็อปที่เริ่มหมดไฟ บางคนอาจเพิ่งถูกมองข้ามในการเลื่อนตำแหน่งจนรู้สึกหมดใจกับบริษัท แต่ยังคงทำงานเต็มที่

ทางออกที่ยั่งยืนเริ่มจากการพูดคุยกับพนักงานแบบเปิดใจและรับฟัง ในบรรยากาศที่ปลอดภัย ไม่ใช่การตรวจสอบหรือตำหนิ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าองค์กรเห็นคุณค่าของเขาและสนับสนุนเป้าหมายของแต่ละคน ทั้งนี้ มีคำแนะนำว่าสิ่งที่องค์กรสามารถทำได้เพื่อลดพฤติกรรม Ghostworking ได้แก่ 

1. พูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอในเชิงบวก ไม่ใช่แค่เวลามีปัญหา

2. เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือเสนอแนวทางการทำงาน

3. สร้างวัฒนธรรมการชื่นชมและให้เครดิตกับความสำเร็จ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่

4. ส่งเสริมโอกาสในการเติบโต เช่น การอบรมภายใน การจับคู่กับพี่เลี้ยง หรือเปิดเส้นทางเลื่อนตำแหน่งที่ชัดเจน

เรื่องของความไว้ใจ ยิ่งบริษัทใช้ซอฟต์แวร์ติดตาม พนักงานก็ยิ่งต่อต้าน

ในตอนท้ายของการสำรวจ Resume Now ได้ถามพนักงานว่า ถ้าบริษัทเริ่มตรวจสอบการทำงานอย่างเข้มงวด เช่น การจับเวลาหน้าจอหรือการใช้ซอฟต์แวร์ติดตาม จะส่งผลต่อประสิทธิภาพหรือไม่ คำตอบที่ได้มีดังนี้ 

69% บอกว่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้ามีการตรวจสอบ
19% บอกว่าไม่มีผล
10% บอกว่าจะหาวิธีใหม่ในการพักหรือแกล้งทำงานอยู่ดี
3% บอกว่าไม่มีผลเพราะตนเองมีวินัยในการทำงานอยู่แล้ว

แม้ผลลัพธ์อาจดูเหมือนว่า "การจับตาดู" พนักงานจะช่วยเพิ่มความขยันได้ แต่ภาพรวมของงานวิจัยชี้ชัดว่า วิธีที่ยั่งยืนและได้ผลจริงคือการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เพราะเมื่อองค์กรเลือกจับผิด พนักงานก็ยิ่งซ่อนพฤติกรรม และพอพนักงานซ่อนพฤติกรรมมากขึ้น ฝ่ายบริหารก็ยิ่งเข้มงวด กลายเป็นวัฏจักรของความไม่ไว้วางใจที่กัดกร่อนประสิทธิภาพของทั้งระบบ

เอาเป็นว่า..หากทั้งสองฝ่ายหันมาให้ความสำคัญกับ "คุณค่าของผลงาน" มากกว่า "การแสดงออกว่าเหมือนกำลังทำงาน" ก็อาจเป็นทางออกที่จะยุติวงจร Ghostworking และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยั่งยืนและมีความหมายยิ่งกว่าเดิม

 

 

อ้างอิง: Forbes, Resume-now