คนรุ่นใหม่กลัว AI แย่งงาน-เงินไม่พอใช้ จิตตกกับอนาคตไม่แน่นอน

Gen Z และ Millennials ในออสเตรเลีย เผชิญความกลัวหลายอย่างในโลกการงาน เช่น กลัว AI แย่งงาน กลัวเงินไม่พอใช้ กลัวอนาคตที่ไม่แน่นอน พวกเขาอยู่ในยุคปากกัดตีนถีบที่แท้จริง
KEY
POINTS
- ความกลัวเรื่องความมั่นคง ผลักให้คนรุ่นใหม่เลือกองค์กรที่มีเป้าหมายชัด พวกเขาไม่ได้เลือกงานจากเงินเดือนหรือแบรนด์บริษัทอีกต่อไป แต่เลือกองค์กรที่ยืนหยัดในเรื่องจริยธรรม ความยั่งยืน และสุขภาพจิต
- ค่าครองชีพสูง-รายได้ไม่พอใช้ คืออีกหนึ่งความกลัวอันดับต้นๆ ของแรงงานรุ่นใหม่ ยกตัวอย่าง Gen Z ในออสเตรเลียใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” ความไม่มั่นคงทางการเงิน ทำให้พวกเขาไม่มีความสุขทั้งในชีวิตและการทำงาน
- งานที่ไม่มี “ความหมาย” ถูกมองว่าไม่คุ้มเสี่ยงในยุคที่ AI มาแรง คนรุ่นใหม่จึงให้ความสำคัญกับงานที่สอดคล้องกับค่านิยมของตัวเองมากขึ้น และพร้อมปฏิเสธข้อเสนองานที่ไม่ตอบโจทย์
Gen Z และ Millennials คือกลุ่มคลื่นคนรุ่นใหม่ที่กำลังเข้ามาครองตลาดแรงงาน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการจากโลกการทำงาน กลับไม่ใช่แค่ตำแหน่งใหญ่หรือรายได้สูงอีกต่อไป ผลสำรวจล่าสุดจาก Deloitte เผยถึงค่านิยมในที่ทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่สะท้อนถึงความกลัวของคนรุ่นใหม่มาพร้อมกัน ทั้งเรื่องความไม่มั่นคงในยุค AI และแรงกดดันจากค่าครองชีพที่พุ่งสูง
ผลสำรวจใหม่ดังกล่าว ยังระบุถึงเทรนด์ที่น่าจับตาของแรงงาน Gen Z และ Millennials ในออสเตรเลีย ซึ่งสะท้อนภาพรวมของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิมๆ แต่สิ่งที่ขับเคลื่อนพวกเขาคือ "จุดมุ่งหมาย" (Purpose), "ความยืดหยุ่น" (Flexibility) และ "สุขภาวะทางใจ" (Mental Wellbeing) สิ่งเหล่านี้สำคัญมากถึงขั้นที่ว่า ถ้าไม่ได้ตามที่คาดหวัง พวกเขาก็พร้อมจะเดินจากองค์กรไปทันที!
ตามหา 'ความหมาย' ในงาน มากกว่าแค่ตำแหน่งใหญ่โต
ภายในปี 2030 Gen Z และ Millennials จะครองสัดส่วนถึง 74% ของแรงงานทั่วโลก ความคาดหวังของพวกเขาจึงกำลังกำหนดทิศทางอนาคตของสถานที่ทำงาน เทรนด์การทำงาน และค่านิยมของการทำงานด้วย ดังนั้น ลืมภาพการไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่ที่ได้นั่งในห้องทำงานหัวมุมไปได้เลย เพราะสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการจริงๆ คือ งานที่มีความหมาย
ผลสำรวจ Deloitte ปี 2025 ชี้ว่า Gen Z ถึง 94% และ Millennials 92% ต่างก็ให้ความสำคัญกับ "งานที่มีความหมาย" เป็นอันดับต้นๆ และพวกเขาไม่ได้แค่พูด แต่ลงมือทำจริง! โดย 40% ของ Gen Z และ 39% ของ Millennials เคยปฏิเสธข้อเสนองานจากนายจ้างโดยอิงจากจริยธรรมหรือความเชื่อส่วนตัว
พิพ เด็กซ์เตอร์ (Pip Dexter) หัวหน้าฝ่ายบุคลากรและจุดมุ่งหมายองค์กร ของ Deloitte ออสเตรเลีย กล่าวว่า ยุคสมัยที่ต้องทนทำงานเพื่อแค่เงินเดือนที่มั่นคงนั้นจบไปแล้ว ความพึงพอใจในอาชีพของคนสองรุ่นนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่เงินเดือน แต่ยังรวมถึง "โอกาสในการเติบโต" ควบคู่ไปกับ "การทำงานที่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว" จึงเกิดความคาดหวังต่อนายจ้างมากขึ้นว่า จะต้องเสนอโอกาสการเติบโตและงานที่มีความหมายให้แก่พวกเขา
AI คือ เหรียญสองด้าน มอบให้ทั้งโอกาสและความกังวล
แน่นอนว่าเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ Gen Z และ Millennials เปิดรับเครื่องมืออย่าง ChatGPT และแพลตฟอร์ม AI สร้างสรรค์อื่นๆ สำหรับการทำงานประจำวันอยู่แล้ว และหลายคนก็เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจากการใช้ AI ที่ช่วย ประหยัดเวลาและยกระดับคุณภาพงาน
แต่ก็มีข้อสังเกตสำคัญ คือ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับวิธีการใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างความกระตือรือร้นกับความมั่นใจ
เด็กซ์เตอร์เตือนว่า นายจ้างที่ไม่ปรับตัวอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียบุคลากรชั้นนำ แม้ AI จะนำเสนอศักยภาพมหาศาลสำหรับการก้าวหน้าในอาชีพและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่บางคนก็รู้สึกไม่มั่นคงในงานของพวกเขา ดังนั้น จะดีกว่าในระยะยาวถ้านายจ้างจัดให้มีการฝึกอบรมภาคปฏิบัติจริงจัง เพื่อเสริมทักษะ AI ให้พนักงาน ผลลัพธ์คือจะได้รับประโยชน์ทั้งในแง่การรักษาพนักงานเอาไว้ได้ และงานที่มีประสิทธิผลมากขึ้น
นักวิเคราะห์รุ่น Gen Y เชื่อ AI จะแทนที่งานของเขาเร็วๆ นี้
นักวิเคราะห์ข้อมูลชาว Millennial คนหนึ่งเผยกับ news.com.au ด้วยความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับ AI โดยเขามองว่า งานของเขาและภรรยาซึ่งเป็นงานทักษะที่ทำเกือบทั้งหมดบนคอมพิวเตอร์และค่อนข้างซ้ำซาก จะเข้าข่าย "ตกงาน" เร็วๆ นี้ และเขาเริ่มเห็นสัญญาณหลายอย่าง เช่น ค่าจ้างที่แย่ ความมั่นคงของงานที่ต่ำ และสภาพแวดล้อมที่ทำงานเป็นพิษ
เขาเห็นด้วยตาตัวเองว่า AI เก่งขึ้นแค่ไหนกับทักษะหลักในงานของเขา เช่น การป้อนข้อมูล, การวิเคราะห์ และการเขียนรายงาน ด้วยความสามารถของ AI agents ที่ทำได้เกือบทุกงานที่ทำบนคอมพิวเตอร์และกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เขามองว่า "มันแย่มากๆ สำหรับคนที่เป็นพนักงานออฟฟิศ"
มีการเตือนก่อนหน้านี้ว่าปัญญาประดิษฐ์อาจสร้างงานได้มากถึง 200,000 ตำแหน่งในออสเตรเลียภายในสิ้นทศวรรษนี้ แต่ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำชี้ว่างานจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะ "ล้าสมัย" ด้วยการนำเทคโนโลยี AI ที่ซับซ้อนขึ้นมาใช้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เชนร้านฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาได้ใช้ระบบ AI เลียนแบบเสียงพนักงานรับออเดอร์แบบ Drive-Through ผู้เชี่ยวชาญในออสเตรเลียกล่าวว่า เทคโนโลยีนี้สามารถนำมาใช้ในออสเตรเลียได้ภายในปีนี้ และเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคบริการอาหารนี้ จะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
งานใดๆ ที่มีหน้าที่ซ้ำซาก จะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ การวิจัยคาดการณ์ว่า การสูญเสียตำแหน่งงานรวมอาจสูงถึง 1.3 ล้านตำแหน่งในอีกหลายปีข้างหน้า
'ปากกัดตีนถีบ' วิกฤติค่าครองชีพเปลี่ยนเกม Gen Z
แม้ค่านิยมและเทคโนโลยีจะมีความสำคัญ แต่ไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบหนักเท่ากับ "ค่าครองชีพที่สูงขึ้น" กว่าครึ่งของคนรุ่นใหม่ในออสเตรเลีย ต่างก็รายงานว่า ความเครียดทางการเงิน คือความกังวลอันดับหนึ่งของพวกเขา
Gen Z ถึง 64% และ Millennials 59% ยังคงใช้ชีวิตแบบ "เดือนชนเดือน" และผู้ที่รู้สึกไม่มั่นคงทางการเงิน ก็มีแนวโน้มที่จะรายงานว่าไม่มีความสุขในชีวิตและการทำงาน
การศึกษาระดับอุดมศึกษาแบบดั้งเดิมก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน Gen Z เริ่มหันหลังให้ปริญญามหาวิทยาลัยมากขึ้น โดยอ้างถึง ค่าเล่าเรียนที่สูงและข้อจำกัดด้านเวลา ขณะที่ชาว Gen Y (Millennials) ซึ่งต้องรับผิดชอบครอบครัวก็มีแนวโน้มคล้ายกัน ทั้งสองรุ่นกำลังมองหา การเรียนรู้ภาคปฏิบัติ, การมี Mentorship และประสบการณ์จริง และพวกเขาต้องการให้นายจ้างเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนสิ่งเหล่านี้
ท้ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า แรงกดดันด้านการเงินและเวลา กำลังทำให้ Gen Z และ Millennials ไม่อยากเรียนในเส้นทางอุดมศึกษาแบบดั้งเดิม หลายคนหันมาพึ่งพาที่ทำงานสำหรับการฝึกอบรมและการเติบโตในสายอาชีพแทน แต่บ่อยครั้งที่การสนับสนุนนั้นยังไม่เพียงพอ
อ้างอิง: New York Post, Deloitte Survay







