Vertier เติมสีสัน ‘เฟอร์นิเจอร์’ ให้สนุกด้วยผลงาน ‘โอ่ง กงพัฒน์’

เฟอร์นิเจอร์ Vertier ดึงศิลปิน ‘โอ่ง กงพัฒน์’ มาร่วมสร้างสีสันใน Vertier x Ong Kongpat ONGRHYTHM เปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้
VERTIER เปิดประสบการณ์ เฟอร์นิเจอร์ โดยร่วมมือกับ โอ่ง กงพัฒน์ ศักดาพิทักษ์ ศิลปินป๊อปอาร์ตคนโปรด มาร่วมออกแบบสร้างสีสัน ผ่านคอลเลกชัน ONGRHYTHM คอลเลคชันที่ปลุกความสนุก กระตุ้นจินตนาการ และทำให้ผู้คนรู้สึกมีชีวิตชีวาในทุกวัน
ภาพบรรยากาศงาน เปิดตัวคอลเลกชัน ONGRHYTHM’ การร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง Vertier แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังของไทย กับ โอ่ง กงพัฒน์ ศิลปินป๊อปอาร์ตแถวหน้าของไทย ณ The Glass House, Nai Lert Park
และเพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้งาน เฟอร์นิเจอร์ ต้องตอบโจทย์ในเชิงประโยชน์ใช้สอย ทว่ายังเป็นชิ้นงานศิลปะอีกด้วย
มีการเปิดเวทีพูดคุย และแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างทีมออกแบบของ VERTIER ร่วมกับ โอ่ง กงพัฒน์ ศิลปินป๊อปอาร์ตแถวหน้าของไทย เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้างสรรค์งานศิลปะที่มีสีสันสดใส เส้นสายอิสระ และเต็มไปด้วยพลังบวก
แต่สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้ผลงานศิลปะคือ บุคลิกส่วนตัวของเขา เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ร่าเริง และมีพลังชีวิตสูง ชื่นชอบเสียงดนตรี
และมักปล่อยตัวเองให้เคลื่อนไหวไปกับจังหวะเพลงอยู่เสมอ บุคลิกดังกล่าวสอดคล้อง และตอกย้ำความสนุกสนาน ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของชื่อ แบรนด์ VERTIER
เราต้องการสร้างคอลเลกชันที่ไม่เพียงแต่สะท้อนฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน แต่ยังถ่ายทอด ตัวตนของโอ่ง กงพัฒน์ ออกมาอย่างชัดเจนที่สุด
จึงเกิดเป็นชื่อ ONGRHYTHM ที่ผสมผสานชื่อของศิลปิน Ong กับคำว่า Rhythm (จังหวะ) ซึ่งสื่อถึงการเคลื่อนไหว การมีชีวิตชีวา และความสนุกที่เกิดขึ้นจากจังหวะในทุกๆ วัน
แนวคิดนี้ถูกถ่ายทอดอย่างละเอียดลงบนเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ตัวอย่างเช่น โซฟา Stop Me Now ที่ดึงเอกลักษ์ภาพวาด crocodog ของศิลปิน มาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ
ทั้งนี้ โอ่ง กงพัฒน์ ยังได้กล่าวว่า แรงบันดาลใจหลักของเขาในคอลเลกชันนี้มาจากการมองเข้าไปข้างในตัวเอง และพบว่าหัวใจสำคัญของทุกงานศิลปะที่เขาทำคือ ความสนุก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอยากส่งต่อไปยังผู้คนที่ได้สัมผัสกับผลงานเหล่านี้
VERTIER ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกวัสดุ ไปจนถึงขั้นตอนการผลิตที่ต้องอาศัยฝีมือและความชำนาญ เพื่อให้เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นไม่เพียงสวยงาม แต่ยังเปี่ยมด้วยคุณภาพที่สามารถอยู่คู่บ้านและสะท้อนรสนิยมของเจ้าของได้ในระยะยาว
โซนจัดแสดงงานฝีมือ
โซนพิเศษที่เปิดโลกเบื้องหลังการทำงานของคอลเลกชัน ONGRHYTHM โดยจัดแสดงเครื่องมือ อุปกรณ์ และวัสดุที่ถูกใช้จริงในการสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น
ตั้งแต่ภาพสเก็ตช์ สี ภาพการลงรายละเอียดด้วยมือ รวมไปถึงเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้จริง ทำให้ได้เห็นถึงความตั้งใจและความทุ่มเทของทั้งศิลปินและทีมช่างฝีมือที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ขึ้นมา เสมือนได้เข้าไปสัมผัสโลกของการทำคอลเลกชันนี้แบบใกล้ชิด
จัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ที่มาในรูปแบบนิทรรศการ
ไฮไลท์หลักของงานคือการจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในคอลเลกชัน ONGRHYTHM ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงและสีสันที่สะดุดตา ทุกชิ้นถูกจัดวางในบรรยากาศที่สะท้อนจังหวะและความหมายของคอลเลกชันอย่างแท้จริง
Talk Session พิเศษ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจคือเวทีพูดคุยแบบเป็นกันเองกับสองบุคคลสำคัญเบื้องหลังคอลเลกชันนี้ ได้แก่ โอ่ง กงพัฒน์ ศักดาพิทักษ์ ศิลปินผู้สร้างสรรค์ลวดลายและแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังทุกชิ้นงาน
และ เติ้ล วรวุฒิ จันทวี ผู้บริหาร VERTIER ที่มาแบ่งปันเบื้องหลังการทำงาน แนวคิดการออกแบบ และประสบการณ์การผสานศิลปะเข้ากับงานเฟอร์นิเจอร์ ทั้งสองท่านได้เล่าถึงเรื่องราวตั้งแต่จุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจ และความท้าทายในการสร้างสรรค์คอลเลกชันนี้ขึ้นมา
ชิ้นงานพิเศษ This is My Masterpiece
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่โดดเด่นที่สุดในงานคือโต๊ะสุดพิเศษภายใต้ชื่อ This is My Masterpiece ซึ่งเป็นผลงานลิมิเต็ดเอดิชันเพียงหนึ่งเดียวในโลกเพราะ ‘โอ่ง กงพัฒน์’ ได้ลงมือเพนต์ลวดลายด้วยตัวเองทั้งชิ้น ถ่ายทอดเอกลักษณ์และความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่บนพื้นผิวโต๊ะของ VERTIER
นอกจากไฮไลท์เหล่านี้ ภายในงานยังได้จัดเตรียมบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งศิลปะ การออกแบบที่เป็นมิตร และ after party ที่จะทำให้แขกผู้ร่วมงานได้มีส่วนร่วมและซึมซับ ‘จังหวะ’ ของคอลเลกชัน ONGRHYTHM
และยังมีวัตถุประสงค์หลักในการ ยกระดับการรับรู้คุณค่าของเฟอร์นิเจอร์ไทย ทั้งในเชิงศิลป์ และการใช้งาน พร้อมทั้งเปิดมุมมองใหม่ที่ท้าทายความคิดเดิมๆ เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และศิลปะ
อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของงานคือการ เผยแพร่และสนับสนุนผลงานของศิลปินไทยสู่สายตาสาธารณะและตลาดสากล เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้วงการศิลปะและการออกแบบร่วมสมัยในประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
คอลเลกชันนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ของการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และศิลปิน ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการหลอมรวมความคิดสร้างสรรค์เข้ากับธุรกิจ นอกจากนี้งานครั้งนี้ยังมุ่งหวังที่จะสร้างพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนมุมมอง







