Gen Z เป็นแพะรับบาป ไม่ได้ขี้เกียจ แค่อยากได้โอกาสออกแบบที่ทำงาน

Gen Z เป็นแพะรับบาป ไม่ได้ขี้เกียจ แค่อยากได้โอกาสออกแบบที่ทำงาน

Gen Z ถูกเข้าใจผิด เหมารวมว่าไม่สู้งาน แต่พวกเขาแค่อยากร่วมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีขึ้น อยากทำงานที่มีความหมาย ได้รับการสื่อสารจากทีมเวิร์กที่แท้จริง

KEY

POINTS

  • Gen Z ไม่ได้ขี้เกียจ แค่ถูกเข้าใจผิด คนรุ่นใหม่เรียกร้องให้เลิกเหมารวมว่าไม่สู้งาน เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการคือโอกาสในการร่วมออกแบบวัฒนธรรมที่ทำงาน มีสิทธิมีเสียงแสดงความเห็น
  • คนรุ่นใหม่เผชิญภาวะหมดไฟ รู้สึกด้อยค่าตัวเอง ไม่มีใครสื่อสารให้เข้าใจงาน 68% ของ Gen Z รู้สึกหมดไฟจากงานที่ซ้ำซาก ถูกใช้งานหนักแต่ไม่เห็นคุณค่า และขาดทีมเวิร์กที่แท้จริง
  • พวกเขาไม่ได้อ่อนแอ แค่เติบโตมาในยุคเปลี่ยนผ่าน Gen Z ผ่านทั้งเทคโนโลยี ความไม่แน่นอน และวิกฤติหลายอย่างทางสังคมและเศรษฐกิจ จึงมองหางานที่ตอบโจทย์ชีวิต มากกว่าแค่ “ทำงานไปวัน ๆ”

คนรุ่นใหม่ไม่ยอมเป็นแพะรับบาปในที่ทำงานอีกต่อไป หลังถูกกล่าวหาว่า “ขี้เกียจ-ไม่สู้งาน-เสพติดจอ” ทั้งที่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือการทำงานที่มีความหมาย และมีสิทธิมีเสียงในที่ประชุม

เมื่อพูดถึง Gen Z หลายคนอาจนึกถึงภาพเด็กติดจอที่เอาแต่บ่นเรื่องงาน ไม่สู้ชีวิต และลาออกเป็นว่าเล่น แต่ในงานสัมมนา Fortune Workplace Innovation Summit ที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่า พวกเขาไม่ได้มีปัญหาในการทำงานหรือกับรุ่นพี่เจนเนอเรชันอื่นๆ แต่ถูกเข้าใจผิดต่างหาก

“ผู้ใหญ่ชอบพูดถึงพวกเราว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามทัศนคติของตนเอง แต่ไม่เคยมาพูดตรงๆ ต่อหน้ากับพวกเราหรือร่วมมือกับพวกเราเลย” เซียต อาห์เหม็ด (Ziad Ahmed) หัวหน้าฝ่าย Next Gen Practice แห่ง UTA Marketing แสดงความเห็นบนเวทีสัมนาดังกล่าว

เขาย้ำว่า ปัญหาใหญ่ของการทำงานที่มีหลากหลายเจนฯ อยู่รวมกัน ก็คือ การเหมารวมและมองข้ามคนรุ่นใหม่ ทั้งที่การสื่อสารและสร้างความเข้าใจต่างหากคือกุญแจของความร่วมมือ ไม่ใช่เหมารวมด้วยคำว่า “คนรุ่นนี้ไม่สู้งาน”

ไม่ใช่ปฏิวัติวัฒนธรรมองค์กร แค่ขอร่วมออกแบบให้ดีขึ้น

จุดยืนของ Gen Z ที่ชัดเจนอีกอย่างก็คือ พวกเขาไม่ได้ต้องการล้มระบบองค์กรแบบเก่า แต่แค่อยากให้มัน “พัฒนา” ให้ดีขึ้นเท่านั้น ยืนยันจาก โจนาห์ สติลแมน (Jonah Stillman) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา GenGuru ที่สะท้อนความคิดเห็นว่า “คุณไม่สามารถเดินเข้าออฟฟิศวันแรก แล้วประกาศเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเพื่อ Gen Z ได้หรอก” 

สิ่งที่คนรุ่นใหม่อย่างเขาเสนอคือ องค์กรควรให้ Gen Z มีที่นั่งจริงๆ บนโต๊ะประชุม ให้เสียงของพวกเขามีความหมายเหมือนคนเจเนอเรชันอื่น เพราะการร่วมมือระหว่างรุ่นอย่างมีพัฒนาการ จะดีกว่าการสร้างความขัดแย้งแบบปฏิวัติ

แต่ปัญหายังมีให้เห็นชัด โดยเฉพาะความไม่เข้าใจกันระหว่างเจเนอเรชัน จากรายงานของ Korn Ferry พบว่า มีเพียง 17% ของ Gen Z เท่านั้นที่รู้สึกว่าไม่มีปัญหาเวลาทำงานร่วมกับคนต่างรุ่น เทียบกับ 45% ในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ที่มองว่าการทำงานระหว่างรุ่นนั้นไม่มีปัญหา

ปัญหาที่ทำงานยุคนี้คือ “การสื่อสารไม่ดี” และ “ภาวะหมดไฟ”

สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการจริงๆ คือ การสื่อสารแบบมีความหมายและการมีทีมเวิร์กที่แท้จริง ซึ่งมักจะหายไปจากที่ทำงานในปัจจุบัน นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคน Gen Z ถึงพร้อมลาออกได้ตลอดเวลา

จากผลสำรวจล่าสุดของ SWNS พบว่า 73% ของคน Gen Z อยู่ในระหว่างมองหางานใหม่ ซึ่งกลุ่มคนรุ่นนี้เป็นกลุ่มที่หางานใหม่มากที่สุดในบรรดาทุกเจเนอเรชัน และกลุ่มมิลเลนเนียลตามมาติดๆ ที่ 70%

สาเหตุหลักๆ ที่ผลักดันให้พวกเขาอยากเปลี่ยนงานก็คือ “ภาวะหมดไฟ” โดย 68% ของคนรุ่นนี้รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีแรงใจในการทำงาน ซึ่งสูงกว่าคนรุ่นอื่นๆ พวกเขารายงานถึงปัญหาที่พบด้านการทำงานว่า งานซ้ำซาก ทำงานเพิ่มแต่เงินไม่เพิ่ม และรู้สึกไม่ถูกรับฟัง หรือไม่ได้ถูกเห็นคุณค่า

ปัญหาสภาพแวดล้อมในที่ทำงานก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยพบว่าเกือบ 1 ใน 3 ของพนักงานประจำรู้สึกว่าตัวเองทำงานอยู่ใน “องค์กรเป็นพิษ” อีกทั้ง 50% ของพวกเขา ต้องทำงานทั้งที่ป่วย ขณะที่ 31% รายงานว่ามีงานยุ่งจนไม่ได้พักกินข้าว

หลายคนรู้สึกกดดันจากวัฒนธรรมที่แข็งทื่อ และมองโลกในแง่ลบ

Gen Z ไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้งอแง แค่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อีกหนึ่งวัยทำงานคนรุ่นใหม่อย่าง ทิฟฟานี จง (Tiffany Zhong) ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Noplace เปิดเผยผ่าน Fortune ว่า “เราชอบแบ่งรุ่นกัน แต่จริงๆ  พฤติกรรมมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนั้น” 

คนรุ่น Gen Z นี้ เติบโตมาท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ทั้งเทคโนโลยี ข่าวร้าย ความวุ่นวายทางการเมือง โรคระบาด และเศรษฐกิจผันผวน พวกเขาเลยเลือกมองโลกแบบ “รู้เท่าทัน” ไม่ใช่ “เฉยชา” 

“เราถูกบอกให้ ‘มองโลกตามความจริง’ อยู่เสมอ แต่คำถามคือ ใครเป็นคนตัดสินว่าความจริงคืออะไร?” อาห์เหม็ด ย้ำ

สุดท้ายแล้วคนรุ่นใหม่แค่อยากให้คนรุ่นอื่นๆ เข้าใจพวกเขาว่า Gen Z ไม่ได้อยากเปลี่ยนโลกเพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับตัวเอง แต่พวกเขาแค่ไม่ยอมทนทำงานแบบเดิมๆ ที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป 

 

 

อ้างอิง:  New York Post, Fortune, Kornferry