ซีอีโอทั่วโลกเสี่ยงตกเก้าอี้ หากพิสูจน์ผลงานจาก AI ไม่ได้ใน 2 ปี

ซีอีโอทั่วโลกเสี่ยงตกเก้าอี้ หากพิสูจน์ผลงานจาก AI ไม่ได้ใน 2 ปี

ซีอีโออาจตกงานเพราะ AI ผลสำรวจชี้ 74% ของผู้นำองค์กรเสี่ยงถูกปลด ถ้านำ AI เข้ามาใช้งานในองค์กรแล้วไม่เห็นผลชัดเจน แรงกดดันถาโถมใส่ผู้บริหารระดับสูง

KEY

POINTS

  • 74% ของซีอีโอทั่วโลก กลัวว่าจะตกงานใน 2 ปี หากไม่สามารถแสดงผลลัพธ์เชิงธุรกิจจากการใช้ AI ได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน 63% ระบุว่า บอร์ดบริหารต้องการผลลัพธ์ที่วัดผลได้จาก AI 
  • 35% ของโปรเจกต์ AI ในองค์กร เป็นเพียง “AI Washing” หรือการสร้างภาพว่ามีการใช้ AI ทั้งที่ไม่มีผลลัพธ์จริง อีกทั้ง 87% ของซีอีโอยังเข้าใจผิดว่าเครื่องมือ AI สำเร็จรูป เพียงพอกับการทำงานแล้ว
  • การใช้ AI ให้เกิดผลต้องเริ่มจากผู้นำระดับสูง ไม่ใช่โยนให้ฝ่าย IT หรือ CTO จัดการอีกต่อไป 95% ของซีอีโอในสหรัฐ พร้อมแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เข้าเป็นบอร์ด

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในแทบทุกธุรกิจทั่วโลก ความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ผู้บริหารระดับสูงก็เพิ่มขึ้นแบบไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะความคาดหวังเรื่อง “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จาก AI” ที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของนวัตกรรมอีกต่อไป แต่กลายเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายของตำแหน่งซีอีโอเลยทีเดียว

จากผลสำรวจปี 2025 ของ Dataiku ร่วมกับ Harris Poll พบว่า 74% ของซีอีโอทั่วโลกยอมรับว่า พวกเขาอาจตกงานภายใน 2 ปี หากไม่สามารถแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการใช้ AI ได้ ขณะเดียวกันซีอีโอเหล่านี้ยังเผยว่า AI เข้ามามีบทบาทกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กรถึง 33 ครั้งโดยเฉลี่ยในรอบปีที่ผ่านมา

บอร์ดบริหาร และนักลงทุน เร่งเร้าให้ซีอีโอโชว์ผลงานจากการใช้ AI

หนึ่งในแรงกดดันหลักมาจาก "บอร์ดบริหาร" ที่ไม่เพียงแต่คาดหวัง แต่ “ต้องการเห็นผลลัพธ์” ที่วัดได้จริงจากการใช้ AI โดยตรง โดย 63% ของซีอีโอยอมรับว่า คณะกรรมการของบริษัทได้ตั้งเป้าชัดเจนว่าการลงทุนใน AI ต้องมีผลลัพธ์ที่เป็นตัวเลข และถึง 96% ของผู้บริหารยังบอกว่าความคาดหวังนี้ "สมเหตุสมผล"

นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวนมากก็เริ่มมองกลยุทธ์ AI เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจให้เงินสนับสนุน โดย 83% ของซีอีโอยอมรับว่า หากไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ และการลงมือทำจริงในเรื่อง AI อาจส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการระดมทุนหรือการเติบโตของบริษัท

อย่างไรก็ตาม แม้องค์กรหลายแห่งเร่งลงทุนด้าน AI แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่กลับยอมรับว่า ความพยายามหลายอย่างยัง "ขาดแก่นสาร" อย่างชัดเจน โดยผู้บริหารประเมินว่ากว่า 35% ของโครงการ AI ในองค์กรของตัวเองเป็นเพียง “AI Washing” หรือการทำโครงการเพื่อโชว์ว่าบริษัทมี AI เท่านั้น ไม่ได้มุ่งหวังผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างแท้จริง สิ่งนี้สะท้อนถึงการลงทุนมหาศาลที่อาจสูญเปล่าเพียงเพราะองค์กรกลัวตกเทรนด์ มากกว่าการสร้างมูลค่าเชิงกลยุทธ์ที่แท้จริง

87% ของซีอีโอสารภาพว่าตกอยู่ใน “กับดัก AI สำเร็จรูป” หรือเชื่อผิดๆ ว่าการซื้อเครื่องมือ AI สำเร็จรูปมาใช้จะเพียงพอ ทั้งที่ความจริงแล้ว AI ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมย่อมมีประสิทธิภาพเหนือกว่า การพึ่งพาเครื่องมือแบบ One-size-fits-all จึงอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านองค์กรไม่สำเร็จ

อีกหนึ่งความท้าทายสำคัญคือ “Shadow AI” หรือการที่พนักงานแอบใช้เครื่องมือ AI ที่องค์กรไม่ได้อนุญาตแบบลับๆ โดย 94% ของซีอีโอสงสัยว่ามีพนักงานทำแบบนี้จริง ซึ่งหากไม่มีระบบกำกับดูแลที่ดี จะนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การละเมิดข้อมูล และมาตรฐานงานที่ลดลง และท้ายที่สุด ความรับผิดชอบจะย้อนกลับมาที่ผู้บริหารเอง

ความกังวลด้านกฎระเบียบ-กฎหมายด้าน AI ทำให้หลายโครงการต้องชะงัก

แม้หลายองค์กรจะพยายามเดินหน้าพัฒนา AI แต่ความไม่ชัดเจนในกฎหมาย และข้อบังคับ ก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยจากรายงานพบว่า 

- 37% ของซีอีโอ ตัดสินใจชะลอโครงการ AI เนื่องจากไม่แน่ใจในข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย

- 32% ของผู้บริหาร ยกเลิกโครงการไปเลยเพราะกลัวว่าจะผิดกฎ

- 79% ของผู้บริหารทั่วโลก กังวลว่า พ.ร.บ. AI ของสหภาพยุโรป (EU AI Act) และกฎหมายในประเทศต่างๆ จะทำให้การใช้ AI ล่าช้า

- มีเพียง 12% ของซีอีโอ เท่านั้นที่มีแผนการใช้งาน AI ระยะยาวที่ชัดเจนเกินกว่า 1 ปี ทั้งที่พวกเขาต้องถูกตัดสินผลงานในกรอบเวลาไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า

- กว่า 40% ของซีอีโอบอกว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่อง AI มากถึง 75% ของทุกโครงการในบริษัท ไม่ใช่แค่สั่งให้ฝ่ายไอทีหรือฝ่ายดิจิทัลจัดการอีกต่อไป

รายงานจาก McKinsey Global Survey ยังย้ำว่า หากอยากใช้ AI ให้เห็นผลจริง ต้องเริ่มจากการดำเนินงานแบบ “บนลงล่าง” ในที่นี้หมายถึง ซีอีโอกับคณะกรรมการต้องลงมาเป็นผู้นำเอง ไม่ใช่โยนให้แผนก IT แล้วคาดหวังผลเลิศ เพราะหากทำแบบนั้น สุดท้ายก็มักล้มเหลวในที่สุด

ผู้นำบางแห่ง เริ่มเปลี่ยนโครงสร้างทีมบริหารใหม่เพื่อรับมือ AI

ไม่เพียงเท่านั้น ข้อมูลจากแบบสำรวจเผยว่า 94% ของซีอีโอเชื่อว่า “AI agent” หรือที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์จาก AI อาจให้คำแนะนำที่มีคุณภาพพอๆ กัน หรืออาจดีกว่าคำแนะนำจากมนุษย์ในบอร์ดบริหารด้วยซ้ำ

อีกทั้ง 89% เชื่อว่า AI สามารถสร้างแผนกลยุทธ์ที่เหนือกว่าทีมผู้บริหารคนปัจจุบัน ขณะที่ 95% ของซีอีโอในสหรัฐ ยินดีเพิ่มหรือเปลี่ยนสมาชิกบอร์ดให้มีผู้เชี่ยวชาญด้าน AI

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ผู้บริหารที่เป็นตัวจริงจะยังคงมีที่ยืน และเอาตัวรอดในโลกการทำงานยุคใหม่ได้ แต่จำเป็นต้องหันไปเน้นทักษะที่ AI ไม่มี เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจทางจริยธรรม และการมองภาพใหญ่ของมนุษย์ แล้วนำทักษะเหล่านี้มาผสมผสานกับการใช้งาน AI ในองค์กร เกิดเป็นโมเดลใหม่ที่อาจลงตัวกับทุกฝ่าย

โดยปัจจุบันพบว่า องค์กรบางแห่งเริ่มใช้โมเดลการบริหารใหม่ หรือแนวทางบริหารใหม่ที่ผสมผสานทักษะมนุษย์กับศักยภาพของ AI ยกตัวอย่างเช่น บริษัท "Reverse Mentoring" ให้พนักงาน Gen Z ที่โตมากับเทคโนโลยี มาสอนผู้บริหาร C-level เรื่องเครื่องมือดิจิทัล สร้างการเรียนรู้สองทางที่ทั้งฝ่ายบริหาร และพนักงานได้พัฒนาร่วมกัน

นอกจากนี้ ยังมีบริษัท "AI Task Forces" ที่ได้ตั้งคณะทำงานที่รวมผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย เช่น ด้านกฎหมาย จริยธรรม IT และธุรกิจ เพื่อดูแลการใช้ AI อย่างสมดุล รวมไปถึง "AI Co-CEO" ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษา AI พวกเขาได้แต่งตั้งตำแหน่งผู้บริหารที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างศักยภาพ AI กับกลยุทธ์องค์กร

5 กลยุทธ์ที่ซีอีโอต้องมี หากไม่อยากตกงานเพราะ แสดงผลลัพธ์ทาง AI ไม่ได้

1. ตั้งเป้าผลลัพธ์ที่วัดได้ : หยุดโครงการที่ทำแค่ให้ดูทันสมัย แล้วหันมาวัดผล ROI (Return on Investment) ได้จริง เช่น การลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาทักษะพนักงาน

2. พัฒนา AI ที่เหมาะกับองค์กรตัวเอง: อย่าหวังพึ่งแต่ AI สำเร็จรูป ควรมีทีม “AI Council” ที่รวมมุมมองจาก HR, กฎหมาย, IT และผู้บริหาร

3. จัดการ Shadow AI อย่างจริงจัง : วางกฎการใช้งาน AI ให้ชัดเจน ฝึกอบรมพนักงาน และติดตามการใช้งานแบบโปร่งใส

4. สร้างองค์กรที่ยืดหยุ่น : ซีอีโอต้องตัดสินใจได้แม้มีข้อมูลไม่ครบ และช่วยให้ทีมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง

5. เล่าเรื่อง AI ให้ชัด และน่าเชื่อถือ : ไม่ใช่แค่พูดว่าวิธีของคุณดี แต่ต้องมีข้อมูลสนับสนุน และไม่ตกหลุม AI Washing

สุดท้ายแล้ว AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ในโลกการทำงาน แต่จะกลายเป็น “บททดสอบ” สำคัญของผู้นำยุคนี้เลยก็ว่าได้ ดังนั้น ซีอีโอที่เข้าใจ AI ได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมวางกลยุทธ์ และลงมือทำจริง จะเป็นผู้นำที่ไม่เพียงรักษาตำแหน่งไว้ได้ แต่จะกลายเป็นคนที่พาองค์กรก้าวข้ามการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ได้อย่างมั่นคง

 

อ้างอิง: Forbesdataiku/Harris Poll, Mckinsey Survay

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์