กลัวความล้มเหลว? อาจขัดขวางความสำเร็จ รู้ 10 วิธีปลดล็อกเอาชนะใจ

กลัวความล้มเหลว? อาจขัดขวางความสำเร็จ รู้ 10 วิธีปลดล็อกเอาชนะใจ

คุณกำลังกลัวความล้มเหลวรึเปล่า? นี่อาจเป็นสิ่งขวางคุณจากโอกาสดีๆ ในอาชีพการงาน ลอง 10 วิธีที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมอง ปลดล็อกความกล้า พาคุณเติบโตในสายงานแบบคาดไม่ถึง

KEY

POINTS

  • คุณกลัวล้มเหลวจนขักขวางการเติบโตสายงานอยู่หรือเปล่า? ปรับความคิดใหม่ ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ ให้มันเป็นบทเรียน และก้าวต่อด้วยความเข้าใจและพัฒนาให้ดีขึ้น
  • เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก่อน เพื่อสร้างความกล้า ฝึกเสี่ยงในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันความกลัว
  • ลองใจดีกับตัวเองบ้าง และควรมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยกัน เพื่อให้กำลังใจตัวเองเหมือนที่ให้เพื่อน และเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนที่สนับสนุนคุณ

ไม่มีใครไม่เคยทำพลาด แต่คนที่ไปได้ไกลกว่า คือ คนที่ไม่กลัวความล้มเหลวแล้วเรียนรู้จากมัน วัยทำงานลองปรับเปลี่ยนความกลัวให้เป็นพลัง พร้อมเทคนิคที่ใช้ได้จริงในที่ทำงานและชีวิต 

ความกลัวที่จะล้มเหลวเป็นเหมือนกำแพงที่มองไม่เห็น แต่มันสามารถหยุดคุณจากโอกาสดีๆ ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการกล้ารับโปรเจกต์ใหม่ การเสนอตัวทำสิ่งท้าทาย หรือแม้แต่การกล้าเสนอไอเดียใหม่ๆ ในที่ประชุม เสียงในหัวที่คอยบอกว่า "เราทำไม่ได้หรอก" คืออุปสรรคตัวจริง ที่คอยบั่นทอนทั้งความมั่นใจและการเติบโตในอาชีพ

ความกลัวล้มเหลวอาจแสดงออกมาในหลายรูปแบบ เช่น การผัดวันประกันพรุ่ง การพยายามทำงานให้ความสมบูรณ์แบบเกินเหตุ ไปจนถึง การทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว แต่คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ไม่ใช่คนที่ไม่เคยล้มเหลว ตรงกันข้าม พวกเขาคือคนที่เรียนรู้จากความผิดพลาด และใช้มันเป็นบันไดไต่สู่ความสำเร็จระยะยาว

หัวใจสำคัญคือ “การเปลี่ยนมุมมอง” ให้ล้มเหลวเป็นเพียงข้อมูลย้อนกลับ ไม่ใช่จุดจบของเส้นทาง ลองทำตามเคล็ดลับ 10 วิธีที่ทำให้คุณเอาชนะความกลัวล้มเหลว และกลายเป็นคนที่กล้าก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองในที่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ได้แก่ 

1. ยอมรับว่าทุกคนล้วนเคยล้มเหลว ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

ไม่ว่าใครก็เคยพลาด แม้แต่ Steve Jobs ก็เคยถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่ตัวเองก่อตั้ง หรือ Bill Gates ที่เคยล้มเหลวกับบริษัทแรกก่อนจะมี Microsoft ส่วน J.K. Rowling ก็ถูกปฏิเสธหลายสิบครั้งก่อนที่แฮร์รี่ พอตเตอร์จะโด่งดัง ดังนั้น เมื่อรู้ว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาของคนทุกคน คุณจะเริ่มมองมันอย่างไม่หวาดกลัวเหมือนที่เคย

2. ฝึกวิธีคิดแบบ Growth Mindset (เราพัฒนาได้เสมอ) 

แครอล ดเวค (Carol Dweck) นักจิตวิทยาจาก Stanford อธิบายว่า ความคิดของคนเราแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1) Fixed mindset เชื่อว่าความสามารถติดตัวมาแต่เกิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และ 2) Growth mindset เชื่อว่าเราพัฒนาได้จากความพยายาม

คนที่มี Growth mindset จะไม่กลัวความท้าทาย เพราะมองว่าทุกอย่างคือโอกาสเรียนรู้ ทั้งนี้ มีวิธีฝึกง่ายๆ เช่น เปลี่ยนจาก "เราทำไม่ได้" เป็น "เรายังทำไม่ได้ แต่จะพัฒนาให้ได้" และควรชื่นชมความพยายามของตนเอง ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ รวมถึงขอรับฟีดแบ็กเสมอ เพราะมันคือการที่เราได้ข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ใช่การตำหนิ

3. ฝึกใจดีกับตัวเองให้เป็น

จากงานวิจัยของ ดร.คริสติน เนฟฟ์ (Dr. Kristin Neff) ค้นพบว่า การมีความเมตตาต่อตนเอง (self-compassion) ช่วยให้เรารับมือกับความล้มเหลวได้ดีขึ้น วิธีเริ่มต้นฝึกใจดีกับตัวเองง่ายๆ เช่น ถ้าคุณพลาดอะไรบางอย่างในการทำงาน ลองบอกตัวเองว่า “ทุกคนก็เคยพลาดได้”

โดยพูดปลอบใจให้ตัวเองแบบเดียวกับที่คุณจะปลอบเพื่อน นอกจากนี้ อาจลองถอยออกมาดูงานในภาพรวม, อย่ามองความผิดพลาดเป็นเรื่องใหญ่เกินจริง ฯลฯ คนที่เมตตาตัวเองมักมีพลังใจสูง และพร้อมจะฟื้นตัวไปต่อได้เร็วกว่า

4. เริ่มจากลองเสี่ยงเรื่องเล็กๆ เพื่อสร้างภูมิต้านทาน

ความกลัวล้มเหลว สามารถลดลงได้ ด้วยการค่อยๆ “ชินกับมัน” โดยเริ่มจากฝึกออกกำลังกายทางจิตใจใจ เช่น
- ลองพรีเซนต์กับทีมย่อยก่อนที่จะไปพูดในที่ประชุมใหญ่
- เสนอกระบวนการปรับปรุงเล็กๆ ก่อนจะปฏิรูปทั้งแผนก
- รับโปรเจกต์ใหม่ภายใต้หัวหน้าที่ให้พื้นที่เรียนรู้

แต่ละก้าวที่คุณได้ลองทำทีละเล็กๆ น้อยๆ แล้ว รู้สึกว่าก็ทำได้ไม่ตาย มันจะทำให้คุณพัฒนาความกล้า ก้าวข้ามความกลัว และแข็งแกร่งขึ้นได้ในอนาคต

5. เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า “ความล้มเหลว คือ บทเรียน”

แทนที่จะมองว่าผลงานที่ไม่สำเร็จคืองาน “เจ๊ง” ให้เรียกมันว่า “บทเรียน” ที่มีค่าแทน ยกตัวอย่างกรณีของ สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอ Microsoft เขาเคยบอกว่า เขาต้องการให้คนในองค์กรเป็น “นักเรียนตลอดชีวิต” ไม่ใช่ “คนที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง”

ดังนั้น ลองถามตัวเองทุกครั้งที่พลาดว่า เราเรียนรู้อะไรจากมัน? รอบหน้าเราจะทำงานให้ต่างออกไปยังไง (เพื่อให้ดีขึ้น)? ความพลาดครั้งนี้สอนทักษะใหม่อะไรให้เราบ้าง? เป็นต้น

6. ตั้งกรอบประเมินความเสี่ยงของตัวเอง

ลองวางโครงสร้างทางความคิดให้ตัวเองว่า "จะกล้าเสี่ยงอะไรบ้าง" โดยดูจาก ถ้าเราทำงานนี้สำเร็จ เราจะได้อะไร?, ถ้าพลาดจริงๆ จะเสียหายแค่ไหน (คิดแบบตามความเป็นจริง ไม่ใช่คิดเกินเหตุ), โอกาสที่จะสำเร็จ/พลาดมีแค่ไหน?, มันตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวของเราหรือไม่? ฯลฯ การคิดแบบนี้ช่วยให้คุณไม่เสี่ยงเกินตัว แต่ก็ไม่พลาดโอกาสสำคัญ

7. มี “ทีมพลังใจ” ไว้ข้างตัว

เพื่อนร่วมงาน เมนเทอร์ หรือเพื่อนแท้ที่ให้กำลังใจได้ในจังหวะสำคัญของชีวิต คือสมบัติล้ำค่าของคุณ อย่าขาดการติดต่อกับพวกเขา แค่คิดถึงหรือคอยโทรคุยกับคนที่เคยให้กำลังใจเราเสมอมา ก็ทำให้เรากล้าตัดสินใจมากขึ้นแล้ว

คนกลุ่มนี้จะช่วยคุณกล้าตัดสินใจเมื่อมีโอกาสใหม่ๆ, ช่วยให้คุณมองปัญหาอย่างเป็นกลาง, แบ่งปันประสบการณ์ล้มแล้วลุกของพวกเขา, เฉลิมฉลองทุกก้าวสำเร็จเล็กๆ ไปกับคุณ เป็นต้น 

8. ทบทวนทั้งจุดแข็งและจุดพลาดของตัวเอง

การมองย้อนกลับไปดูความล้มเหลวในอดีต ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำความผิด แต่เพื่อวิเคราะห์ “รูปแบบ” ของความสำเร็จและความล้มเหลว โดยอาจลองถามตัวเองว่า สิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จคืออะไร?, ทักษะไหนเราถนัด และควรใช้ให้มากขึ้น?, ความพลาดครั้งก่อน สอนอะไรเราบ้าง? และ มีข้อดีอะไรหลงเหลือจากความพลาดนั้นไหม? 

9. โฟกัสที่ “กระบวนการ” มากกว่าผลลัพธ์

อย่าเอาตัวเองไปผูกกับแค่ “ผลสำเร็จ” เพราะถ้าผลไม่เป็นดังหวัง เราจะเสียศูนย์ วิธีปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่า คือ ให้ลองชื่นชมตัวเองที่พยายามเต็มที่ และมองว่าผลลัพธ์บางอย่างก็มีปัจจัยนอกเหนือการควบคุม อีกทั้งควรภูมิใจใน “วิธีคิดและวิธีทำ” ของตัวเอง ด้วยวิธีการคิดแบบนี้.. จะช่วยให้คุณจะไม่หมดกำลังใจง่ายๆ แม้ยังไม่ถึงเป้าหมาย

10. ลงมือทำ! แม้จะยังกลัวอยู่ก็ตาม

ความกลัวจะไม่หายไปเอง แต่คุณ “เลือกลงมือได้” แม้จะกลัว โดยให้ลองทำแบบนี้ เริ่มจากยอมรับความรู้สึกกลัวของตัวเอง โดยไม่ตำหนิ จากนั้นย้อนดูว่าคุณเตรียมตัวมาดีแค่ไหน โดยเน้นว่าแค่เริ่มจาก “ก้าวแรก” อย่าคิดถึงทั้งหมด

ไม่เพียงเท่านั้น คุณควรย้ำเตือนความสำเร็จเล็กๆ ที่คุณเคยทำได้แม้จะกลัว โดยทุกครั้งที่คุณ “ลงมือทำทั้งที่กลัว” คุณจะฝึกให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

โดยสรุปคือ ความกลัวล้มเหลว ไม่ใช่ศัตรูของคุณ แต่มันคือทางผ่าน เพื่อเป็นบันไดให้คุณแข็งแกร่งขึ้น จำไว้ว่า..คนที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ไม่ใช่คนที่ไม่เคยพลาด แต่คือคนที่กล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผล ปรับตัวเร็ว และมองความล้มเหลวเป็น “จุดพักเพื่อเรียนรู้” ไม่ใช่ “จุดจบ”

เมื่อคุณเริ่มใช้ทั้ง 10 วิธีนี้ในการทำงานจริง คุณจะพบว่าหลายสิ่งที่คุณเคยมองว่า “แย่” แท้จริงคือ “โอกาสทอง” ที่ช่วยให้คุณพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเส้นทางอาชีพ

 

อ้างอิง: Forbes, Journals.sagepub, PsychologicalScienceSelf-compassion