โลกการทำงานรีเซ็ตใหม่! เน้นทักษะไม่ใช่ตำแหน่ง คน AI ทำงานด้วยกัน

โลกการทำงานรีเซ็ตใหม่! เน้นทักษะไม่ใช่ตำแหน่ง คน AI ทำงานด้วยกัน

ต่อไปตำแหน่งงานจะไม่จำเป็น! Microsoft เผย โลกการทำงานยุค 2025 จะเกิดระบบงานใหม่ที่สร้างทีมตามเนื้องาน-โปรเจกต์ ไม่ยึดติดตำแหน่ง ทีมยุคใหม่ คน กับ AI จะทำงานด้วยกัน

KEY

POINTS

  • Microsoft เผย โมเดลการทำงานใหม่แบบ Work Chart ทดแทนโครงสร้างแบบลำดับชั้นดั้งเดิม เน้นทำงาน “ตามเนื้องาน-โปรเจกต์” โดยรวมคนหลากหลายทักษะเข้ามาแก้โจทย์เฉพาะ ไม่ยึดติดแผนกหรือตำแหน่งงาน
  • AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่องค์กรยุคใหม่แบบ “Frontier Firm” จะมีทั้งคนและ AI ทำงานร่วมกันในทีมเดียวกัน โดยผู้นำต้องมีทักษาะ มอบหมายงานให้ทั้งมนุษย์และ AI อย่างมีประสิทธิภาพ
  • องค์กรต้องเลิกวัดผลแค่ “ตำแหน่ง” แล้วหันมาวัด “ผลลัพธ์” Microsoft ชี้ ควรเลิกวัดคุณค่าพนักงานจากบทบาท แล้วหันมาวัดจากความสามารถในการขับเคลื่อนงานจริง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับไหนก็ตาม

อนาคตของโลกการทำงานที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะเกิดแบบนี้ในอีกหลายปีข้างหน้า แต่มันมาถึงแล้ววันนี้ และมาเร็วกว่าที่คิด นั่นคือ ฉากทัศน์ที่การทำงานใหม่ไม่ยึดติดกับตำแหน่งงาน และ "มนุษย์กับ AI ทำงานด้วยกัน" 

ล่าสุด.. Microsoft เพิ่งจะเปิดเผยรายงาน Work Trend Index ประจำปี 2025 ซึ่งฉายภาพโลกการทำงานยุคใหม่ว่า ต่อไปการทำงานในองค์กรจะไม่ได้แค่เพิ่มเครื่องมือใหม่ๆ เท่านั้น แต่จะเป็นการวางแผนผังของการทำงานขึ้นมาใหม่ทั้งระบบ 

พนักงาน หัวหน้าทีม หรือแม้แต่ผู้นำองค์กร จะไม่ได้แค่ถูกขอให้ “ทำงานแตกต่างไป” จากยุคก่อนๆ แต่จะถูกขอให้วาดภาพการทำงานใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับ “โครงสร้าง จุดประสงค์ และภาษา/การสื่อสารในการทำงาน”

'Frontier Firm' อนาคตโลกการทำงานที่ไม่ง้อตำแหน่งงานอีกต่อไป

ปีนี้ Microsoft ไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องการทำงานแบบไฮบริดหรือการพัฒนาทักษะอีกต่อไป แต่ประกาศว่า ปี 2025 คือปีที่ “Frontier Firm” หรือ “องค์กรแนวหน้า” ถือกำเนิดขึ้น องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยไม่ใช่แค่แรงงานมนุษย์ แต่ด้วย “ปัญญาพร้อมใช้” ที่ขยายขนาดได้ ใช้ได้ตามต้องการ และอยู่รอบตัวตลอดเวลา

แล้วปัญญาพร้อมใช้ (Intelligence on Tap) คืออะไร? ปัญญาพร้อมใช้ เป็นเหมือนกับไฟฟ้า พื้นที่จัดเก็บแบบคลาวด์ หรือแบนด์วิดท์ ที่คุณเข้าถึงได้ตลอดเวลาในที่ทำงาน มันจะไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องจ้างอีกต่อไป ทีนี้เมื่อมันมาผนวกกับ "agent AI" (โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถดำเนินการหรือตัดสินใจแทนมนุษย์ได้โดยอัตโนมัติ) ที่สามารถวางแผน ใช้เหตุผล และลงมือทำได้เอง มันจะเกิดผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางทั้งต่อคนและองค์กร

ดังนั้น มันจึงเปลี่ยนนิยามของ “การสร้างอาชีพ” “การบริหารทีม” และ “การเป็นผู้นำองค์กร” ไปโดยสิ้นเชิง พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าคุณจะทำงานในบทบาทใด งานของคุณก็เริ่มเปลี่ยนโฉมไปแล้ว

อยากอยู่รอด ต้องคิดใหม่ทั้งระบบองค์กร นี่คือจุดเปลี่ยนรุนแรงที่สุดในโลกการทำงาน

ที่ผ่านมา “ปัญญา” เป็นทรัพยากรที่หายาก จำกัดด้วยเวลา ค่าใช้จ่าย และขีดความสามารถของมนุษย์ แต่ข้อจำกัดนั้นกำลังหายไป เมื่อ AI สามารถใช้เหตุผล วางแผน และลงมือปฏิบัติได้ ปัญญาจึงไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในตัวคนหรือพนักงานอีกต่อไป มันกลายเป็นสิ่งที่ขยายขนาดได้ เรียกใช้ได้ตลอดเวลา และอยู่รอบตัวคุณ เรียกว่าเป็น “ความสามารถที่คุณเข้าถึงได้” 

แล้วถ้ามนุษย์ในองค์กรสามารถสร้างปัญญาที่ตัวเองต้องการได้ ทำไมคุณยังต้องจัดองค์กรแบบเดิมที่ยึดตามตำแหน่งงานและแผนก?

จากข้อมูลของพนักงาน 31,000 คนทั่วโลก ข้อมูล LinkedIn แบบเรียลไทม์ และสัญญาณจาก Microsoft 365 จำนวนหลายล้านล้านรายการ รวมถึงการพูดคุยกับเจ้าของบริษัทสตาร์ตอัป นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิจัยหลายคน Microsoft ได้รวบรวมข้อมูลเหล่านั้นแล้ววาดโครงร่างของ Frontier Firm ขึ้นมา

องค์กรในรูปแบบ Frontier Firm เหล่านี้ สามารถเคลื่อนไหวรวดเร็ว ขยายขนาดอย่างชาญฉลาด และสร้างคุณค่าอย่างยืดหยุ่น เพราะโครงสร้างองค์กรไม่ได้อิงกับผังองค์กรแบบคงที่ แต่เป็น “Work Chart” หรือรูปแบบงานที่ยืดหยุ่นและขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ 

ทีมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นตามตำแหน่ง แต่จัดขึ้นตามเนื้องาน-โปรเจกต์ที่ต้องทำ วันนี้ เวลานี้ ผู้นำองค์กรจะไม่ได้ “สร้างทีมใหม่” ตามตำแหน่งงานอีกต่อไป แต่คุณ “ประสานทีม” จากคนหลากหลายทักษะที่สอดคล้องกับเนื้องาน และนี่ไม่ใช่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น แต่องค์กรแบบ Frontier Firm กำลังเกิดขึ้นจริงแล้ว และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า องค์กรส่วนใหญ่จะต้องปรับตัวตามแนวคิดนี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ตามรายงานของ Microsoft พบด้วยว่า 82% ของผู้นำมองว่าปี 2025 คือจุดเปลี่ยนในการทบทวนโครงสร้างและกลยุทธ์โดยส่วนใหญ่คาดว่า AI agents จะมีบทบาทสำคัญภายใน 12-18 เดือนข้างหน้า หรือประมาณปีครึ่งเท่านั้น ซึ่งรวดเร็วมาก

แล้วใครจะเป็นคนจัดการ “ทีมผสม” ที่มีทั้งมนุษย์และ AI?

คำตอบคือ.. อาจไม่ใช่ฝ่าย HR แบบเดิมอีกต่อไป แต่เป็นทีมผสมระหว่าง HR และ IT ที่ทำหน้าที่จัดการ ทรัพยากรปัญญา (Intelligence Resources) ทั้งมนุษย์และ AI ลองนึกภาพทีมแบบไฮบริด จัดสรรอัตราส่วนมนุษย์-AI แล้วดูแลควบคุมงาน ความไว้วางใจ และผลลัพธ์

ในขณะที่บทบาทผู้จัดการ หรือหัวหน้างาน อาจจะต้องปรับตัวให้เร็วกกว่าใครเพื่อน ไม่ใช่แค่มีทักษะใช้เครื่องมือ AI ให้เป็นเท่านั้น แต่ต้องรู้จักปรับประยุกต์ใช้ และออกแบบให้มันทำงานร่วมกับทีมงานที่เป็นคนให้ได้ด้วย

ตามรายงานระบุว่า 67% ของผู้นำ มีความคุ้นเคยหรือคุ้นเคยอย่างมากกับการใช้งาน AI agent เมื่อเทียบกับพนักงานที่คุ้นเคยมีเพียง 40% เท่านั้น และ 79% ของผู้นำเชื่อว่า AI จะช่วยให้ก้าวหน้าในอาชีพ ขณะที่พนักงานเชื่อเช่นนั้นเพียง 67%

โคเล็ตต์ สตอลเบาเมอร์ (Colette Stallbaumer) ผู้จัดการทั่วไปของ Microsoft 365 Copilot และผู้ร่วมก่อตั้ง WorkLab ให้ความเห็นในประเด็นนี้ผ่านรายการพอดแคสต์ The Future of Less Work เมื่อเร็วๆ นี้ไว้ว่า  “ผู้นำรู้ดีว่า พวกเขาไม่มีสิทธิ์รออีกต่อไป ถ้าอยากแข่งขันได้ พวกเขาต้องปรับตัวและลงมือออกแบบทีมใหม่ได้แล้ว” เพราะพวกเขาคือกลุ่มแรกที่ถูกคาดหวังว่าจะต้องมีแผนการทำงานกับ AI ที่ชัดเจน และเป็นกลุ่มแรกที่จะต้องรับผิดชอบหากล้มเหลว

ที่สำคัญกว่านั้น คือ การจัดการ AI เป็นทักษะที่ผู้จัดการคุ้นเคยอยู่แล้ว พวกเขาเคยชินกับการมอบหมายงาน โค้ชชิ่ง ปรับทิศทาง สร้างความไว้วางใจ ซึ่งก็คือทักษะที่จำเป็นในการทำงานกับ AI agent ในตอนนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่จำเป็นต้อง “สร้างรูปแบบการจัดการใหม่” แค่ต้อง “นำทักษะเดิม” ไปใช้กับทั้งมนุษย์และ AI เพื่อออกแบบและบริหารทีมไฮบริด 

AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่จะกลายเป็น "เพื่อนร่วมทีม" จริงๆ

ในยุคที่ AI agent เข้ามาช่วยทำงานมากขึ้น เราไม่ได้แค่เรียนรู้วิธีใช้งานมัน แต่เราต้องรู้วิธี “บริหาร” มันด้วย และต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรสั่งงานอะไรให้มัน จะฝึกยังไงให้มันทำงานดีขึ้น จะเชื่อใจมันแค่ไหน และจะเข้าไปตรวจเช็คเมื่อไหร่ ดังนั้น คนทำงานยุคใหม่ต้องทำตัวเป็น “Agent Boss”
คือ ไม่ได้แค่เก่งแค่ในงานของตัวเอง แต่ต้องสามารถ “จัดการทีมที่มีทั้งคนและบอท” ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

ไม่ต้องรอให้ถึงระดับหัวหน้า เพราะวันนี้ใครๆ ก็เป็น Agent Boss ได้ ขอแค่คุณรู้จักใช้ AI เป็นทีมเสริม ที่ช่วยดันงานให้ไปได้ไกลกว่าเดิม

ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ลองคิดแบบ “เจ้าของสตาร์ตอัป” ถ้าคุณมีบอทอัจฉริยะช่วยทำงานได้ตลอดเวลา คุณจะจัดการวันทำงานให้มีประสิทธิภาพแค่ไหน? และสำหรับใครที่ปรับตัวได้ทัน โอกาสก็เปิดกว้างแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พนักงานระดับจูเนียร์บางคน อาจทำผลงานได้เทียบเท่าซีเนียร์
แค่เพราะเขารู้วิธีใช้ทีมเอเจนต์ให้ถูกทาง

พูดได้ว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการเปลี่ยนกรอบความคิด โดยสรุปคือ รายงานของ Microsoft ฉบับนี้ ชี้ถึงสิ่งที่ทุกองค์กรควร “เอากลับมาทบทวนอย่างจริงจัง” และในฐานะคนทำงาน คุณควรถามตัวเองว่า…

- คุณอยากทำงานกับองค์กรที่เปิดให้คุณเติบโตได้แค่ไหน?
- ถ้าเพื่อนร่วมทีมของคุณไม่ใช่มนุษย์ คุณจะบริหารยังไง?
- ถ้าความสำเร็จในอาชีพวันนี้ ไม่ได้วัดแค่ “คุณเก่งแค่ไหน” แต่ดูว่า “คุณใช้ AI ขยายศักยภาพตัวเองได้มากแค่ไหน” คุณพร้อมหรือยัง?

จากนั้นให้หายใจลึกๆ และพร้อมรับมือให้ดี เพราะโลกการทำงานเปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่ “ภาษาที่เราใช้พูดถึงงาน” ก็เปลี่ยนตามไปด้วย และนี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น!

 

อ้างอิง: Forbes, Microsoft Work trend IndexWorkfutures