อยากก้าวหน้าในอาชีพ วัยทำงานต้องมั่นหน้า กล้าพูด และจุ้นให้เป็น

การเป็นคนนิสัยดีในที่ทำงานไม่ได้ทำให้ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่คนที่มั่นหน้า กล้าพูด จุ้นจ้าน และชอบออกคำสั่งต่างหากที่จะเติบโตก้าวหน้าในสายงาน
KEY
POINTS
- ผลงานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้อง “กล้าสื่อสาร” ให้คนเห็น อย่าหวังว่าเจ้านายจะรู้เองว่าเราทำอะไรอยู่ ถ้าอยากเติบโต ต้องกล้าพูดถึงสิ่งที่ทำ เช่น ส่งอีเมลอัปเดต ชี้ให้เห็นผลงานตัวเองแบบไม่เขินอาย
- เลิกเสียเวลาไปกับงานจิปาถะ (NAP: Not Actually Promotable) อย่างจองห้องประชุมหรือจดบันทึกในทุกประชุม ถ้าอยากได้โอกาส ต้องเลือกทำงานที่ “ส่งผลจริง” กับเป้าหมายทีมและองค์กร
- นิสัยไม่น่ารักอย่าง ‘เจ้ากี้เจ้าการ’, ‘กล้าออกคำสั่ง’, ‘ไม่แคร์ว่าจะดูแปลก’ อาจเป็นกุญแจสู่ความก้าวหน้า มันถูกตีความใหม่ว่าเป็นทักษะการเอาตัวรอดที่จำเป็นในยุคนี้ อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่กล้าและชัดเจนกว่าเดิม
ในยุคที่การทำงานรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมาย ผู้คนทำงานทางไกลมากขึ้น โลกการทำงานเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจนกลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น วัยทำงานสมัยนี้แค่ทำงานเก่งอย่างเดียวอาจไม่พออีกต่อไป
"เจนนี วูด" (Jenny Wood) อดีตผู้บริหารกูเกิลและผู้เขียนหนังสือ Wild Courage บอกว่า คุณลักษณะนิสัยที่เราเคยถูกสอนให้ซ่อนไว้ เช่น การเป็นคนเรื่องเยอะ มั่นหน้ามั่นใจเกินขอบเขต หรือความกล้าพูดถึงผลงานตัวเอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กำลังกลายเป็นทักษะสำคัญในการเอาตัวรอดและสร้างตัวตนในที่ทำงานยุคใหม่
“คำโกหกที่ใหญ่ที่สุดที่คุณเคยได้ยินในชีวิตการทำงาน คือ ผลงานของคุณจะพูดแทนตัวคุณเอง” วูด บอกเอาไว้ในพอดแคสต์ The Future of Less Work เมื่อไม่นานมานี้
ทำผลงานอยู่เงียบๆ ไม่ช่วยให้อยู่รอดในที่ทำงานอีกต่อไป
การได้ 'เจอหน้ากัน' ในที่ทำงานทุกวัน อาจกลายเป็นเรื่องยากในยุคนี้ โดยเฉพาะเมื่อใครหลายคนไม่ได้เข้าออฟฟิศเป็นประจำ หรือทำงานข้ามเขตเวลา ค่านิยมและความเชื่อที่ว่า "คนที่เราเห็นหน้าในออฟฟิศบ่อยๆ น่าจะทำงานหนักกว่า" ก็ยังคงฝังแน่นในวัฒนธรรมองค์กร (นักวิจัยเรียกสิ่งนี้ว่า proximity bias) นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการ 'แสดงผลงาน' และ 'บอกให้คนอื่นรู้ว่าเรากำลังทำอะไร' ถึงกลายเป็นทักษะสำคัญ
หนังสือ Wild Courage ของ เจนนี วูด ไม่ได้ชวนให้คุณกลายเป็นคนเด่นดังในที่ทำงาน แต่เสนอให้คุณมองทักษะทางสังคมอย่างการกล้าที่จะ “เสนอหน้า”, “มั่นหน้า”, “ออกคำสั่ง” หรือ “กล้าออกตัว” ว่า เป็นพฤติกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ได้อย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้คุณ 'ถูกมองเห็น' จากทีมและหัวหน้างานได้มากขึ้น ท่ามกลางโลกการทำงานที่ไร้ขอบเขตแบบทุกวันนี้
ตัวอย่างหนึ่งที่วูดเล่าในพอดแคสต์ก็คือ เธอเคยวิ่งไล่ตามชายคนหนึ่งในสถานีรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก แล้วเรื่องนั้นก็ลงเอยด้วยการแต่งงาน เธอยกเรื่องนี้มาเพื่อบอกว่า 'ความกล้า' ไม่ใช่แค่เรื่องบุคลิก แต่มันเป็น 'ทักษะ' ที่ฝึกได้ และอาจกลายเป็นทักษะสำคัญที่สุดในยุคที่พนักงานทุกคนไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน
สำหรับใครที่ทำงานงานระยะไกล หรือไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศ วูดแนะนำให้ใช้วิธีที่เรียกว่า 'Shameless Monday Email' ซึ่งก็คือ การเขียนอีเมลส่งถึงหัวหน้าเพื่ออัปเดตผลงานของตนเองสัปดาห์ละครั้ง โดยใส่ 2 สิ่งที่คุณภูมิใจ และ 2 สิ่งที่คุณกำลังพัฒนา แน่นอนว่ามันอาจรู้สึกแปลกๆ ในตอนแรก แต่สำหรับทีมที่ไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน มันคือวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คนอื่นรับรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่บ้าง และสร้างผลงานให้ทีมได้อย่างไร
อย่าเสียเวลาทำงานจิปาถะ ที่ไม่ค่อยมีผลดีต่อความก้าวหน้า
อีกหนึ่งคำแนะนำที่หลายคนน่าจะสะดุดใจ คือการเลี่ยงกลุ่มงานที่วูดเรียกว่า “NAP” (Not Actually Promotable) หรืองานที่ไม่มีผลต่อการได้เลื่อนขั้น เช่น การอาสาจัดกิจกรรมทีม หรือจดบันทึกประชุมทุกครั้ง แม้จะดูเป็นคนช่วยเหลือดี แต่งานแบบนี้มักไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คุณก้าวหน้า วูดสรุปให้สั้นๆ ว่า ให้ลองพูดว่า “ใช่” กับงานใหญ่ๆ ที่มีผลงานปังๆ และให้ฝึกปฏิเสธงานเล็กให้ได้
เธอยังแนะนำให้เรา “หยุดพยายามเอาใจคนอื่น” และกล้าวางขอบเขตกับงานที่ไม่จำเป็น เพราะเวลาของคุณก็มีจำกัด และการปฏิเสธไม่ได้แปลว่าไม่ให้เกียรติ แต่มันคือความรับผิดชอบในการบริหารเวลาและพลังงานของตัวเอง
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่างานไหนคือ 'เรื่องใหญ่' ที่ควรรับผิดชอบ? วูดบอกว่า ให้คุณ 'กล้าเสนอหน้า' ในทางที่ดี นั่นคือให้กล้าถาม กล้าพูดคุย และเชื่อมโยงกับคนอื่น เพราะหลายโอกาสในชีวิตการทำงานไม่ได้มาจากเรซูเม่ แต่มาจากความสัมพันธ์และบทสนทนาเล็กๆ นี่แหละ
อยากได้โอกาสดีๆ ต้องกล้าถาม และจุ้นจ้านให้เป็น
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่เธอแนะนำคือ “reckless” ในความหมายที่ว่า 'กล้าลงมือ' แต่ไม่ใช่การบุ่มบ่าม เพราะในโลกที่เปลี่ยนเร็ว การรอให้คนอื่นอนุญาตทุกครั้งทุกขั้นตอน อาจทำให้เราตกขบวน ความกล้าทดลองและขอในสิ่งที่อยากทำจึงสำคัญกว่าที่เคย ..อย่างที่วูดพูดไว้ว่า “บางครั้งอาจยังลังเลอยู่… แต่ก็ให้ลุยเลย แม้จะทำให้คนอื่นไม่พอใจก็ตาม”
และสุดท้าย วูดสนับสนุนให้เรากล้าสั่ง กล้าออกตัว แม้ไม่มีตำแหน่งใหญ่โต เพราะทุกวันนี้ การแสดงความเป็นผู้นำไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนที่มีคำว่า “ผู้จัดการ” ในตำแหน่ง แต่หมายถึงการลุกขึ้นมารับผิดชอบ ริเริ่ม และสนับสนุนผู้อื่น ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของทีมก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้ว โลกของการทำงานกำลังเปลี่ยนไปและพลิกโฉมสู่ค่านิยมใหม่ๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึง ดังนั้นวัยทำงานจึงต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ให้ทันโลก ทั้งการทำให้คนเห็นการมีอยู่ของเรา การสื่อสารคุณค่าในตัวเอง และการกล้ารับบทนำแม้ไม่มีใครมอบให้ เพราะสมัยนี้ งานของคุณจะไม่พูดแทนตัวคุณอีกต่อไป แต่คุณสามารถเรียนรู้วิธีช่วยให้มันเปล่งเสียงดังได้ด้วยตัวคุณเอง
อ้างอิง: Forbes, LinkedIn, WildCourageBook







