รู้จัก ‘โรคซึมเศร้า’ แบบเข้าใจง่าย ผ่านหนังสือเล่มเดียว

จำนวนผู้ป่วย ‘โรคซึมเศร้า’ ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเพราะความไม่รู้จักโรคนี้อย่างแท้จริง จะดีกว่าไหม ถ้าเราเข้าใจโรคนี้ได้ง่าย ๆ ผ่านหนังสือเล่มเดียว
การใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วน ทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึก การปรับตัวรับมือกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อดำรงชีวิตต่อไปเป็นเรื่องจำเป็น
แม้ว่าหลายสิ่งจะยากต่อการทำใจ โรคซึมเศร้า จึงเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า โรคซึมเศร้า เขียนโดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ พิมพ์โดย สำนักพิมพ์ Amarin Health
พูดถึงลักษณะของโรคซึมเศร้าด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย สรุปสั้น ๆ เหมาะกับทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นโรคนี้ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ป่วยได้อย่างมีความสุขไปพร้อมกัน
-
100 ความจริงที่คุณต้องรู้ เกี่ยวกับ โรคซึมเศร้า
1. โรคซึมเศร้าไม่ใช่อารมณ์เศร้าที่เกิดกับคนทั่วไป
2. อารมณ์เศร้าอาจจะเหมือนไข้ กินยาลดไข้ก็หาย แต่โรคที่ทําให้เกิดไข้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
3. ผู้ป่วยจะซึมลงกว่าที่เคย เคลื่อนไหวเชื่องช้า มีอารมณ์เศร้าบ่อย ๆ
4. ผู้ป่วยบางคนไม่มีอารมณ์เศร้าที่ชัดเจน แต่มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ไปจนถึงขี้โมโห
5. ผู้ป่วยจะดูเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ ไม่มีสมาธิทํางาน จนบางครั้งดูเหมือนไม่ตั้งใจทํางาน
6. ผู้ป่วยเบื่อกิจวัตรที่เคยทํา ไม่สนใจเรื่องที่เคยชอบ เบื่อผู้คน เบื่องาน เบื่อโลก และเบื่อชีวิต
7. หลายคนสรุปว่าผู้ป่วยอ่อนแอ ไม่สู้ชีวิต อย่าลืมว่าผู้ป่วยโรคใด ๆ ล้วนมีสิทธิ์ที่จะอ่อนแอ
8. โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคทางสมอง แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพทย์จะพบว่ามีสารเคมีในสมองของผู้ป่วยที่เสียสมดุล
9. โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวช (psychiatric disorder)
10. ยาต้านอารมณ์เศร้าไม่ใช่คําตอบหนึ่งเดียวหรือคําตอบสุดท้าย
11. โรคทางจิตเวชมีปัจจัยก่อโรค 3 ส่วนเสมอ คือ กาย ใจ สังคม
12. รักษาสมดุลของชีวิตให้ดี ถ้าไม่สามารถรักษาสมดุลไว้ได้อีกแล้วจึงเกิดโรคซึมเศร้า
13. แม้บางคนจะมีพันธุกรรมของโรคซึมเศร้า แต่ถ้ามีทักษะชีวิตที่ดีและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียดจนเกินไปก็จะสามารถรักษาสมดุลของชีวิตได้
14. เมื่อไรเราจึงควรรู้ตัวว่าอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า >> มีอารมณ์เศร้ามากและบ่อยครั้ง หรือเกือบตลอดเวลา
15. บางคนไม่มีอารมณ์เศร้าชัดเจน แต่เบื่อหน่าย หงุดหงิด ขาดสมาธิในการทำงาน และเหนื่อยง่าย รวมถึงนอนไม่หลับและอารมณ์ทางเพศลดลง หรือบางคนมีความคิดฆ่าตัวตายและมีประวัติการฆ่าตัวตายในครอบครัว
16. คําว่า "เบื่อ" เป็นคําที่มีความหมายกํากวม ไร้ขอบเขต ตัดสินใจยากว่าเท่าไรจึงเรียกว่าเบื่อ
17. คำพูดเช่น "อย่าคิดมาก" หรือ "เข้มแข็งหน่อยสิ" ไร้ความหมาย เพราะผู้ป่วยกำลังสวมบทบาทผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
18. อาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจิตใจของเขาเป็นของจริง ไม่ใช่คิดมาก คิดเอาเอง ไม่เข้มแข็ง อ่อนแอ หรือไม่ปล่อยวาง
19. เพราะเขาเป็นโรค เขาจึงมีอาการเหล่านี้ นี่ไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นอาการ
20. จิตแพทย์ต้องเข้าไปอยู่ในกรอบสังเกตการณ์เดียวกับผู้ป่วย ใช้ความรู้สึกวัดความรู้สึก ไม่ใช่แค่สังเกตจากภายนอก
21. การตรวจสภาพจิตเป็นเครื่องมือที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีความเที่ยง หากตรวจโดยผู้ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์เพียงพอ
22. อาการบางอย่างของผู้ป่วยเป็นเรื่องวัดได้ แม้ว่าอาการตั้งต้นจะฟังดูเป็นนามธรรม
23. อารมณ์เศร้าสามารถผลิตอาการทางกาย ทางใจ ทางความคิดและอารมณ์ได้หลายรูปแบบ
24. การประเมินตนเองด้วยความช่วยเหลือของจิตแพทย์ช่วยให้ผู้ป่วย "มองเห็น" ตัวเองมากขึ้น
25. อาการนอนไม่หลับเป็นอาการที่วัดได้เป็นวิทยาศาสตร์
26. ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักมีปัญหาการนอนหลับ เช่น หลับยากและหลับ ๆ ตื่น ๆ
27. เมื่ออาการเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยมักมีอาการตื่นกลางดึกแล้วไม่สามารถหลับต่อได้อีก
28. คนส่วนใหญ่จะฝันคืนละ 4-5 รอบ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักมีความฝันที่กระจัดกระจายไม่เป็นกระบวน
29. สําหรับคนทํางาน อันตรายของโรคซึมเศร้าคือทําให้สมาธิในการทํางานลดลง
30. สมาธิลดลงจากหลายสาเหตุ เช่น การนอนหลับ สารเคมีในสมอง หรือจากความเศร้าทำให้หมกมุ่นจนไม่สามารถทำงานได้
31. ร่างกายจะชินยาต้านอารมณ์เศร้าซึ่งมักใช้เวลา 7-14 วัน ความง่วงจากยาจะลดลง
32. เมื่อสมรรถภาพทางร่างกายลดลง สมรรถภาพทางเพศลดลงด้วย
33. แทบทุกเรื่องในโรคซึมเศร้าเป็นปฏิสัมพันธ์ของกายใจ และสังคมทั้งสิ้น
34. ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ตึงเครียดหรือโหดร้ายมากจนเกินไป ขนาดของยาต้านอารมณ์เศร้าที่ไม่สูงมากก็ช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้นได้
35. การฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีพัฒนาการค่อยเป็นค่อยไป จากน้อยไปหามากตามลําดับ
36. เราแบ่งการฆ่าตัวตายออกเป็น 2 จําพวกคือ แบบรุนแรงและแบบรุนแรงน้อยกว่า
37. การรักษาขึ้นอยู่กับการวินิจฉัย วินิจฉัยผิดก็รักษาผิด
38. จิตบําบัดไม่ใช่ยาวิเศษที่ใช้ได้กับผู้ป่วยทุกคน ยาต้านอารมณ์เศร้าก็ใช้ไม่ได้กับผู้ป่วยทุกคน
39. อารมณ์เศร้าที่อยู่นานอาจจะไม่รุนแรง ไม่รบกวนการนอน การทํางานและไม่มีความคิดฆ่าตัวตาย แต่ก็ทําให้ไม่มีความสุข
40. ผู้ป่วยที่ไม่ถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า สามารถใช้บริการคำปรึกษาหรือจิตบำบัดได้
41. ผู้ป่วยสามารถระบายความคับข้องใจได้ โดยผู้ให้คำปรึกษามีหน้าที่รับฟังโดยไม่ตัดสินหรือให้ความคิดเห็น
42. ขอเพียงเรื่องที่แบกไว้มีทางลง อารมณ์เศร้าก็เหือดหายไปได้บางส่วน
43. ผู้รักษาที่ดีต้องทํามากกว่าการรับฟัง คือชี้ให้เห็นการดําเนินชีวิตที่ก่อปัญหาของผู้ป่วย
44. ผู้ป่วยมักติดกับอยู่ที่ความพยายามจะแก้ไขบุคคลอื่นหรือคาดหวังว่าเขาจะเปลี่ยน
45. หากไม่รู้เท่าทันตนเอง เราจะตกอยู่ในกับดักแห่งความหมดหวังและไม่มีทางได้รับความช่วยเหลือตลอดไป
46. หลักใหญ่ใจความคือการยอมรับ ทั้งการยอมรับผู้คนรอบข้างอย่างที่เขาเป็นและการรักษาความเป็นตัวของตัวเอง
47. อารมณ์เศร้าส่วนหนึ่งเกิดจากความสูญเสีย (loss)
48. ทุกครั้งที่เกิดการสูญเสียสมควรคิดมากถูกต้องแล้ว แต่ควรมีกําหนดระยะเวลา ตําราแพทย์ให้ 3-6 เดือน
49. การแบ่งปันความรู้สึก (sharing) เท่ากับกระจายนํ้าหนักของความทุกข์ออกไปให้คนช่วยถือ
50. ความเศร้าหลังการสูญเสียควรมีอยู่ประมาณ 3-6 เดือน แล้วแต่บุคลิกภาพของแต่ละคน
51. หากอารมณ์เศร้านานกว่า 6 เดือน มันจะลุกลามไปยังจิตใจ สมอง หรือระบบประสาท
52. อารมณ์เศร้าหลังการสูญเสียเป็นกระบวนการทางจิตใจตามธรรมชาติ
53. 5 ขั้นตอนเมื่อเจอกับข่าวร้าย คือ ช็อก-ปฏิเสธความจริง-โกรธทุกสิ่ง-ดิ่งลงสู่ความเศร้า-ยอมรับ
54. กระบวนการโศกเศร้าอยู่ขั้นตอนก่อนที่จะยอมรับ คนทั่วไปควรก้าวผ่าน แต่คนที่มีประวัติพันธุกรรมโรคซึมเศร้าอาจจะก้าวไม่ผ่าน
55. โรคซึมเศร้าเป็นเหมือนโรคทางจิตเวชศาสตร์ทั่วไปที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
56. เมื่อ Self-esteem เสียหาย ผู้ป่วยจะโยงเหตุการณ์ไม่ดีในชีวิตกับความล้มเหลวของตัวเอง
57. พ่อแม่ทอดทิ้งลูกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้เด็กพัฒนาตัวตนและ Self-esteem ได้ยาก
58. การทอดทิ้งกินความถึงการทอดทิ้งทางใจ อยู่แต่ตัวโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกมากพอ
59. ภาวะที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยที่รู้สึกหมดหวัง (hopeless) และหมดทางช่วยเหลือ (helpless) เป็นสาเหตุที่สําคัญที่ทําให้ผู้ป่วยซึมเศร้ามาก
60. ทารกที่ต้องเผชิญกับแม่ที่ดีและไม่ดีจะใช้กลไกทางจิตแยกแม่ดีและแม่ไม่ดีออกจากกัน จากนั้นจะซ่อนแม่ไม่ดีไว้ในจิตใต้สำนึก รอให้มันปรากฏเป็นโรคซึมเศร้าในอนาคต
61. กระบวนการทางจิตที่ซับซ้อนในเด็กอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อโตขึ้น
62. ความไม่มั่นคงในวัยเด็กสามารถสร้างพื้นฐานความเศร้าในชีวิต
63. คนที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่มั่นคงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า
64. ความรู้สึกผิดและอารมณ์ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมักเป็นปัจจัยในการพัฒนาโรคซึมเศร้า
65. ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในวัยเด็กสามารถทิ้งรอยแผลในจิตใจจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า
66. ความเศร้าไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เดียว แต่เกิดจากกระบวนการสะสมความเครียดในชีวิต
67. การเข้าใจสาเหตุและเงื่อนไขของความเศร้าช่วยในการรักษาโรค
68. การสร้างทักษะชีวิตที่แข็งแกร่งช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า
69. การมีความเข้าใจในตนเองเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคซึมเศร้า
70. ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับตัวเองเพื่อการรักษา
71. ผู้ป่วยควรรับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง
72. การรักษาโรคซึมเศร้าต้องการการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ
73. การระบายอารมณ์กับผู้ที่เข้าใจช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้
74. การยอมรับว่าตัวเองต้องการความช่วยเหลือเป็นขั้นตอนแรกในการรักษา
75. ความเครียดจากสภาพแวดล้อมสามารถกระตุ้นอาการซึมเศร้า
76. การหากิจกรรมที่ชอบและให้กำลังใจตัวเองช่วยฟื้นฟูจากความเศร้า
77. ความคิดบวกช่วยลดความเครียดและอาการซึมเศร้า
78. การยอมรับความเศร้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสามารถช่วยให้ผู้ป่วยก้าวผ่านมันไปได้
79. ความช่วยเหลือจากคนรอบข้างมีความสำคัญต่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นอย่างมาก
80. การปรับยาต้านอารมณ์เศร้าควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความสามารถของผู้ป่วย
-
10 ข้อความที่อยากให้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้อ่าน
1. คุณไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนคอยสนับสนุนคุณเสมอ
2. ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของคุณ
3. เวลาและการรักษาจะช่วยให้คุณดีขึ้น
4. คุณสำคัญและมีคุณค่าเสมอ
5. การขอความช่วยเหลือไม่ผิด
6. เศร้าเป็นเรื่องธรรมชาติ
7. โรคซึมเศร้าไม่ใช่ความอ่อนแอ
8. อย่ากดดันตัวเองและให้เวลาตัวเอง
9. การไปหาจิตแพทย์หรือขอคำปรึกษาเป็นหนึ่งในการดูแลตัวเอง
10. ทุกสิ่งสามารถดีขึ้นได้ คุณสามารถผ่านมันไปได้แน่นอน
-
10 ข้อแนะนำวิธีรับมือกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
1. รับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสิน
2. หลีกเลี่ยงการพูดเชิงลบ ควรพูดให้กำลังใจและสนับสนุน
3. หลีกเลี่ยงการบังคับให้ผู้ป่วยทำสิ่งต่าง ๆ หากเขายังไม่พร้อม
4. สนับสนุนให้ผู้ป่วยไปพบจิตแพทย์หรือรับการบำบัด
5. มีความเข้าใจในอาการของเขาและไม่คิดว่าเขาอ่อนแอ
6. แนะนำให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่เคยชอบหรือสนใจ
7. การพูดคุยถึงโรคซึมเศร้าอย่างเปิดเผยช่วยลดความรู้สึกอับอาย
8. สนับสนุนให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพกายจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้
9. ให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบและปลอดภัย
10. ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ในแต่ละวัน
ฉบับหนังสือ
Amarinbooks: https://bit.ly/3RGNju9
Naiin: https://bit.ly/4lpkFvd
ฉบับ E-book
Naiin: https://bit.ly/42AXeaS
-
เป็นโรค ต้องรักษา เพื่อกลับมาเป็นคนเดิม
ศาสตราจารย์นายแพทย์มาโนช หล่อตระกูล กล่าวไว้ใน เพจ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า
โรค คือ ความผิดปกติทางการแพทย์ จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา เพื่อให้อาการทุเลา
คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม โรคก็จะทุเลาลง มีจิตใจแจ่มใส ทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ดังเดิม
วิธีสังเกต
1.อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป เศร้า หดหู่ สะเทือนใจง่าย ร้องไห้บ่อย อ่อนไหวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บางคนไม่มีอารมณ์เศร้า แต่จิตใจหม่นหมอง ไม่แจ่มใส ไม่สดชื่น เบื่อไปหมดทุกอย่าง อะไรที่เคยทำแล้วมีความสุข ทำแล้วก็ยังไม่สบายใจ อารมณ์ร้ายหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย
2.ความคิดเปลี่ยนไป มองอะไรแย่ไปหมด มองไปในอดีตก็เห็นแต่ความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง ไม่มีใครช่วยได้ ไม่เห็นทางออก มองอนาคตไม่เห็น ท้อแท้หมดหวังในชีวิต ไม่มั่นใจตนเอง ตัดสินใจไม่ได้ ลังเล รู้สึกไร้ความสามารถ ไร้คุณค่า คิดเรื่องการตายบ่อยๆ
3. สมาธิความจำแย่ลง หลงลืมง่าย เพิ่งวางของไว้ หรือเพิ่งพูดกันก็จำไม่ได้ เหม่อลอย ดูโทรทัศน์ไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือได้ไม่ถึงหน้า ทำงานผิดๆ ถูกๆ
4. มีอาการทางร่างกาย อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร นอนหลับยาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง ท้องผูกปากคอแห้ง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว
5. ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป ซึมลง ไม่ร่าเริง แจ่มใส เก็บตัวมากขึ้น ไม่พูดกับใคร ใจน้อย อ่อนไหวง่าย หงุดหงิดง่าย
6. การทำงานแย่ลง ความรับผิดชอบลดลง ทำลวกๆ ให้ผ่านไป ทำงานละเอียดไม่ได้เพราะสมาธิไม่มี หมดพลังต่อสู้ ลางานขาดงานบ่อย
7. อาการโรคจิต ในรายที่มีอาการซึมเศร้ามาก หลงผิด ประสาทหลอน เชื่อว่ามีคนกลั่นแกล้ง ประสงค์ร้าย หูแว่ว
หากสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ ลองทำแบบสอบถามนี้ดู
แบบสอบถามภาวะอารมณ์เศร้า https://med.mahidol.ac.th/infographics/76
แต่ถ้าให้ชัดเจนจริง ๆ ต้องไปพบแพทย์ ให้แพทย์เป็นผู้วินัจฉัย
...............................
อ้างอิง : Amarin HOW-TO, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล







