วัยทำงานญี่ปุ่นมุ่งสู่ Quiet Quitting ท้าทายวิถีทำงานหนักจนตาย

วัยทำงานญี่ปุ่นมุ่งสู่ Quiet Quitting ท้าทายวิถีทำงานหนักจนตาย

คนทำงานรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นเกือบครึ่ง (50%) มุ่งทำงานแบบ "Quiet Quitting" ไม่เอาเลื่อนขั้น ไม่ขอแบกงานหนัก ไม่เสี่ยงคาโรชิ ค่านิยมใหม่นี้เริ่มเขย่าวัฒนธรรมโหมงาน

KEY

POINTS

  • คนทำงานญี่ปุ่น 45% กำลัง Quiet Quitting ในที่ทำงาน พวกเขาทำงานแค่ตามหน้าที่ ไม่ขอทำเกินขอบเขตงานของตน ไม่สนเลื่อนตำแหน่ง และตั้งใจจะทำแบบนี้ต่อไป
  • สาเหตุหลักคืออยากบาลานซ์ชีวิตกับการทำงาน หลายคนรู้สึกว่าได้งานไม่ตรงกับบทบาทที่ตกลงกันไว้ และต้องการใช้เวลาชีวิตให้คุ้มค่ามากขึ้น
  • การเปลี่ยนผ่านนี้สะท้อนค่านิยมใหม่ของคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นพวกเขาเริ่มปฏิเสธวัฒนธรรมทำงานหนักแบบดั้งเดิม และเรียกร้องรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นและเข้าใจชีวิตมากขึ้น

ประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมการทำงานหนัก หลายครั้งมีรายงานข่าวเกี่ยวกับ "คนทำงานหนักจนตาย" หรือภาวะคาโรชิ จนหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานและปรับปรุงชั่วโมงทำงานในญี่ปุ่นให้สมดุลมากขึ้น

ล่าสุด..มีรายงานผลสำรวจใหม่พบว่า แรงงานเต็มเวลาชาวญี่ปุ่นกว่า 45% เลือก "ทำงานแบบเงียบๆ" หรือ "Quiet Quitting" ซึ่งหมายถึง การทำงานแค่พอผ่านเกณฑ์โดยไม่แสวงหาความก้าวหน้า เทรนด์การทำงานนี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ที่เริ่มเบียดแทนวัฒนธรรมทำงานจนตาย (คาโรชิ) ของญี่ปุ่น

บริษัทจัดหางาน Mynavi ในญี่ปุ่นได้สำรวจความคิดเห็นของพนักงานอายุ 20 - 59 ปี จำนวน 3,000 คน พบว่า 45% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าตัวเองเป็น “Quiet Quitters” หรือคนที่ทำงานแบบเงียบๆ คือทำงานให้ครบตามหน้าที่แต่ไม่ขอรับงานเพิ่ม ไม่วิ่งหาความก้าวหน้า และไม่มุ่งแสดงตัวโดดเด่น

"เราสังเกตได้ว่าการทำงานแบบเงียบๆ กำลังกลายเป็นเรื่องปกติใหม่" อะการิ อาซาฮินะ (Akari Asahina) นักวิจัยจาก Mynavi Career Research Lab เล่าผ่าน The Japan Times

ทำงานแค่พอใจ ไม่ขอทำเกินขอบเขตหน้าที่ไปมากกว่านี้

ปรากฏการณ์นี้อาจเริ่มจากสหรัฐฯ เมื่อคำว่า Quiet Quitting กลายเป็นไวรัลบน TikTok ในปี 2022 แต่วันนี้ มันสะท้อนเสียงของพนักงานญี่ปุ่นจำนวนมากที่เลือกจะหยุดไล่ตามความคาดหวังแบบเดิมในที่ทำงาน

ในกลุ่มผู้ที่ระบุว่าตัวเองเป็น Quiet Quitters กว่า 70% บอกว่าตั้งใจจะทำงานรูปแบบนี้ต่อไป และ 60% บอกว่าพวกเขาพอใจกับผลลัพธ์ เพราะมีเวลาทำกิจกรรมส่วนตัวมากขึ้นทั้งระหว่างพักในเวลางานและหลังเลิกงาน

เหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายคนเลือกเส้นทางนี้ มีทั้งความรู้สึกว่า ทักษะของตนเองไม่เข้ากับบทบาทงานที่ทำ หรือบางคนก็มีความต้องการบาลานซ์ชีวิตและงานให้สมดุล และอีกหลายคนก็ไม่มีความสนใจที่จะไต่เต้าสายงานในองค์กร

"เมื่อค่านิยมของคนเราเริ่มหลากหลายมากขึ้น บริษัทก็ควรเปิดรับความหลากหลายนั้น และออกแบบรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นให้เหมาะกับแต่ละคน" อาซาฮินะ อธิบาย

วัฒนธรรมโหมงานหนักแบบดั้งเดิม กำลังถูกท้าทาย

วัฒนธรรมการทำงานแบบญี่ปุ่นมีชื่อเสียงมานานเรื่องการทำงานหนักล่วงเวลา โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องการเสียสละตัวเองเพื่อองค์กร ซึ่งรุนแรงถึงขั้นที่ญี่ปุ่นต้องมีคำว่า karoshi หรือ “ตายเพราะทำงานหนัก” แต่ผลสำรวจล่าสุดจาก Mynavi บอกเราว่า ค่านิยมนี้อาจกำลังเปลี่ยนไป

โดยผลสำรวจในกลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล (HR) ที่ตอบแบบสอบถามชุดเดียวกันนี้ พวกเขาประมาณ 32% มองว่า Quiet Quitting อาจส่งผลเสียต่อขวัญกำลังใจของทีม แต่ก็มีถึง 39% ที่เปิดรับแนวคิดนี้ โดยยอมรับว่าพนักงานบางคนอาจไม่ได้มุ่งมั่นกับการเลื่อนขั้นเสมอไป

ขณะเดียวกัน ชั่วโมงทำงานต่อปีของญี่ปุ่นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ยืนยันจากรายงานของสถาบัน Recruit Works ในเดือนพฤศจิกายนที่ระบุว่า ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อปีลดลงถึง 11.6% จาก 1,839 ชั่วโมงในปี 2000 เหลือ 1,626 ชั่วโมงในปี 2022 ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศในยุโรป

นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว มากกว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการสร้างชื่อเสียงในที่ทำงานแบบคนรุ่นพ่อแม่

 

 

อ้างอิง: South China Morning Post, JapanTimes