Gen Z พลิกโลกการทำงาน? อยากอัปตำแหน่งเร็ว แต่ก็มองหางานมีคุณค่า

Gen Z พลิกโลกการทำงาน? อยากอัปตำแหน่งเร็ว แต่ก็มองหางานมีคุณค่า

เงินเดือนไม่ใช่เป้าหมายเดียวของ Gen Z อีกต่อไป พวกเขากำลังเปลี่ยนค่านิยมโลกการทำงานใหม่ อยากเติบโตก้าวหน้าเร็ว แต่ขณะเดียวกันก็มองหางานที่มีความหมาย และสมดุลชีวิต

KEY

POINTS

  • คนรุ่นใหม่เลือกงานที่มีความหมายมาก่อนเงินเดือน 86% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับ “เป้าหมายและความหมาย” ของงาน มากกว่าค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว
  • คนรุ่นใหม่พร้อมลาออกถ้างานไม่ตรงใจ เกือบครึ่งพร้อมลาออกภายใน 2 ปี หากงานไม่ตอบโจทย์ชีวิต และ 25% ลาออกได้แม้ยังไม่มีงานใหม่
  • Gen Z ต้องการอิสระและสมดุลชีวิต งานที่ยืดหยุ่นและวัฒนธรรมองค์กรที่ตรงกับค่านิยม คือสิ่งที่เจน Z ต้องการมากที่สุดในโลกการทำงาน

รู้สึกไหมว่าวัฒนธรรมการทำงานยุคนี้เริ่มแตกต่างไปจากยุคก่อนๆ ค่านิยมหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สิ่งนี้ยิ่งเห็นชัดขึ้นในองค์กรที่อยู่มานานหลายสิบปีและเริ่มมีเด็กรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z เข้ามาเป็นพนักงานมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคนรุ่นใหม่ดังกล่าวคือกลุ่มประชากรที่เกิดราวปี ค.ศ.1997 - 2012 (ปี พ.ศ. 2540 - 2555) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดแรงงานทั่วโลก

จาก “เด็กใหม่” ที่หลายคนเคยมองข้าม วันนี้ Gen Z กลับกลายเป็นพลังสำคัญที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง ข้อมูลในไตรมาส 2 ปี 2024 จาก Zurich Insurance ระบุว่า Gen Z คิดเป็น 18% ของแรงงานสหรัฐฯ แซงหน้าชาว Baby Boomer ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 15% ไปแล้ว และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงกับข้อมูลของ World Economic Forum ที่คาดการณ์ว่า Gen Z จะมีสัดส่วนถึง 27% ของแรงงานทั่วโลกภายในสิ้นปี 2025 

สิ่งที่ทำให้คนรุ่นนี้มีความแตกต่างอย่างชัดเจน คือมุมมองที่พวกเขามีต่องานและชีวิต พวกเขาไม่ได้มองหางานที่แค่ให้เงินเดือนดีหรือมั่นคง แต่งานต้อง “มีความหมาย” และ “ตรงกับคุณค่าในชีวิต” ของพวกเขาด้วย 

ไม่ใช่แค่อยากได้เงินเดือนดี แต่ขอทำงานที่มีความหมายกับชีวิต

คนรุ่น Z มาพร้อมแนวคิด “คุณค่าต้องมาก่อน” ซึ่งหมายถึงการเลือกทำงานที่สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อและให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเท่าเทียม สิ่งแวดล้อม หรือสุขภาพจิต มากไปกว่านั้น พวกเขายังพร้อมจะปฏิเสธองค์กรที่ไม่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมของตัวเอง แม้ว่าจะได้เงินเดือนสูงกว่าก็ตาม 

ผลสำรวจจาก Deloitte Global ปี 2024 ชี้ว่า 86% ของ Gen Z เชื่อว่าการมี “เป้าหมายที่ชัดเจน” เป็นกุญแจสำคัญของความพึงพอใจในงาน และมีถึง 44% ที่พร้อมปฏิเสธงาน หากค่านิยมขององค์กรไม่ตรงกับตัวเอง ขณะที่ผลสำรวจของ Pew Research เมื่อปี 2023 พบว่า 70% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับการทำงานในองค์กรที่มีจุดยืนทางจริยธรรมที่ชัดเจน แม้ว่าจะต้องแลกกับรายได้ที่น้อยลงก็ตาม

แนวคิดแบบนี้ถือว่าแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Millennials (58%) และ Gen X (47%) ที่ให้ความสำคัญกับจุดยืนด้านจริยธรรมองค์กรในระดับที่ต่ำกว่า

ไม่ทนทำต่อหากงานนี้ไม่ใช่ พร้อมลาออกแม้ยังไม่มีงานใหม่

การมีแนวคิดที่ชัดเจนแบบนี้ ก็นำมาซึ่ง “การเปลี่ยนงานที่เร็วขึ้น” โดยข้อมูลจาก Deloitte ปี 2023 ระบุว่า 49% ของคนเจน Z จะลาออกภายใน 2 ปี หากไม่พอใจกับคุณค่าขององค์กรหรือสมดุลระหว่างชีวิตกับงาน เทียบกับ Millennials ที่อยู่ที่ 41% และ Gen X ที่ 33% เท่านั้น

ที่น่าสนใจคือ 1 ใน 4 ของคนเจน Z พร้อมลาออกจากงานแม้จะยังไม่มีงานใหม่รองรับ เทียบกับ Gen X ที่มีแค่ 12% เท่านั้น นั่นแปลว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความสอดคล้องระหว่างตัวตนกับงานมากกว่า “ความปลอดภัย” ทางอาชีพ

ความคิดเรื่อง “งานคืองาน ชีวิตคือชีวิต” จึงกลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนอาจต้องปรับตัว โดยเฉพาะผู้จัดการหรือผู้บริหารที่คุ้นชินกับพนักงานที่อยู่กับองค์กรไปยาวๆ แต่สำหรับเจน Z ถ้างานไม่ยืดหยุ่น ไม่มีโอกาสเติบโต หรือไม่ตอบโจทย์ตัวตน ก็พร้อมจะเดินออกทันที

แม้แต่แนวคิดเรื่องการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “ความคาดหวังเกินจริง” ของเจน Z ปัจจุบันกลับกลายเป็นรูปแบบที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง โดยรายงานจาก Gallup ปี 2024 ระบุว่า ในปี 2025 มีชาว Baby Boomer ถึง 45% และ Gen X มากถึง 52% ที่ทำงานแบบ Hybrid เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี 2022 ที่มีเพียง 30% และ 38% ตามลำดับ

Gen Z ไม่ได้ไร้ความทะเยอทะยาน แค่เปลี่ยนเป้าหมายชีวิต

แม้คนรุ่นใหม่จะดูเหมือนไม่ยึดติดกับตำแหน่งหรือเส้นทางการเติบโตแบบดั้งเดิม แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขา “ไม่ทะเยอทะยาน” เพราะจากข้อมูลของ RippleMatch ปี 2024 พบว่า 70% ของเจน Z ยังคาดหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งภายใน 18 เดือน แต่สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญจริงๆ คือ “โอกาสในการเรียนรู้และเติบโต” ไม่ใช่แค่ตำแหน่งหรือยศถาบรรดาศักดิ์

พวกเขายังนิยมทำงานเสริม หรือมี Side Hustle เพื่อเสริมความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงิน โดยผลสำรวจจาก Handshake ปี 2023 ระบุว่า 41% ของ Gen Z ให้คุณค่าในเรื่อง “การมีอิสระ” จากงานนอกเวลามากกว่าการไต่เต้าตำแหน่งในบริษัท

แม้จะมีความหวังสูง แต่ก็ต้องเผชิญกับความจริงที่ไม่ง่าย ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่กดดัน ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น หนี้การศึกษาที่ถาโถม และรายได้ที่ยังไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่อย่างมาก โดย Deloitte ปี 2024 ระบุว่า 40% ของเจน Z รู้สึกเครียดตลอดเวลา หรือแทบตลอดเวลา และมีเพียง 51% เท่านั้นที่ประเมินว่าตนเองมีสุขภาพจิตดี ซึ่งน้อยกว่าทั้ง Millennials (62%) และ Gen X (68%)

นอกจากนี้ Gallup ยังพบว่าการมีส่วนร่วมในที่ทำงานของเจน Z อยู่ที่เพียง 35% เท่านั้น ต่ำกว่าทั้ง Millennials (42%) และ Gen X (48%) แสดงให้เห็นว่า หากงานไม่ตอบโจทย์ชีวิต ไม่ยืดหยุ่น และไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็ยากที่พวกเขาจะรู้สึกผูกพันกับงาน

ท้ายที่สุดหากองค์กรใดอยากดึงคนรุ่นใหม่มาร่วมงาน เพื่อใช้พลังสร้างสรรค์ของคุณรุ่นใหม่มาพัฒนาธุรกิจให้ต่อยอดและทันสมัย ก็คงต้องเรียนรู้ค่านิยมของคนรุ่นนี้และปรับตัวตามยุคสมัยไม่ให้ล้าหลัง ก็จะก้าวขึ้นเป็นองค์กรในฝันของคนรุ่นใหม่ได้ไม่ยาก

 

อ้างอิง: Forbes, Zurich, Deloitte, PewResearchQureos