ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แค่เป็นหนึ่งในคนเก่งของทีมก็เติบโตได้

การพยายามเป็นเบอร์หนึ่งของทีม อาจสร้างแรงกดดันสูงและเกิดการแข่งขันทำงานที่ไม่จำเป็นในทีม ควรตั้งเป้าเป็นหนึ่งในคนเก่งของทีม จะช่วยให้บรรยากาศในที่ทำงานดีขึ้น
KEY
POINTS
- อย่าหมกมุ่นกับการเป็น “คนที่เก่งที่สุด” แต่ให้ตั้งเป้าเป็นหนึ่งในคนที่ทำผลงานดีในทีม วิธีนี้จะช่วยให้ทำงานร่วมกับทีมได้ดีขึ้น และสร้างบรรยากาศที่ไม่แข่งขันกันเกินไป
- ผู้นำที่ดีต้องยกระดับ “ทั้งทีม” ไม่ใช่แค่ตัวเอง Robert Walters ผู้บริหาร AT&TWalters แนะ ผู้นำเปลี่ยนมุมมองจากการเป็นคนเก่งเดี่ยว มาเป็นผู้นำที่สร้างเป้าหมายให้ทีมเติบโตไปด้วยกัน
- โฟกัสกับการพัฒนา “วันต่อวัน” แทนที่จะไล่ล่ารางวัลหรือความสำเร็จระยะสั้น ให้สะสมความก้าวหน้าทีละนิดทุกวัน เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์จะยิ่งใหญ่กว่าที่คิด
คนที่ทำงานในองค์กรหรือบริษัทใหญ่ชื่อดัง ไม่ว่าใครก็อยากก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพราะมันนำมาซึ่งรายได้และชื่อเสียงในฐานะ 'คนเก่ง' จึงไม่แปลกที่พนักงานหลายคนพยายามจะสร้างผลงานให้ตนเองโดดเด่นที่สุด พยายามทำงานเป็นคนเก่งที่สุดในทีม แต่รู้หรือไม่? นั่นอาจกลายเป็นกับดักขัดขวางไม่ให้คุณก้าวหน้าในอาชีพอย่างที่หวังไว้
หนึ่งในคำแนะนำสุดประหลาดจากผู้บริหาร บริษัทโทรคมนาคมของสหรัฐอเมริกาอย่าง 'โรเบิร์ต วอลเตอร์ส' (Robert Walters) รองประธานอาวุโสจาก AT&T ก็คือ อย่าเป็นคนที่เก่งที่สุดในทีม! มันอาจขัดกับความเชื่อเดิมๆ สำหรับคนที่อยากเติบโตในอาชีพ แต่ขณะเดียวกันก็น่าสนใจ
“คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดในที่ทำงาน แต่ให้ตั้งเป้าว่าอยากเป็น หนึ่งในคนที่เก่งในทีมแทน แล้วคุณจะไปได้ไกลกว่าเดิม” เขาบอก
วอลเตอร์ส เชื่อว่าการตั้งเป้าให้ตัวเองเป็นเบอร์หนึ่ง อาจสร้างความคาดหวังที่สูงเกินไปและทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่จำเป็นในทีม ในทางกลับกัน ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองมาคิดว่าอยากเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของทีม ก็จะช่วยให้บรรยากาศในที่ทำงานดีขึ้น ทีมเวิร์กแข็งแรงขึ้น และเปิดโอกาสให้ทุกคนเติบโตไปพร้อมกัน
“หน้าที่ของผู้นำคือการสร้างเงื่อนไขให้คนในทีมประสบความสำเร็จ ตั้งเป้าหมายที่จับต้องได้ แล้วคอยสนับสนุนให้เขาก้าวไปถึง” ผู้บริหาร AT&T อธิบาย
จากคนที่เคยอยากเป็น “เก่งที่สุด” สู่ผู้นำที่มองภาพรวมทั้งทีม
วอลเตอร์ส เล่าว่าตอนเริ่มต้นชีวิตการทำงาน เขาเองก็เคยเป็นคนที่ยึดติดกับแนวคิด “ต้องเก่งที่สุด” โดยเฉพาะในช่วงที่ยังเป็นผู้ปฏิบัติงาน (individual contributor) แต่เมื่อก้าวมารับตำแหน่งผู้นำทีม เขากลับพบว่าแนวคิดนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2011 ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ วางแผนเครือข่าย และวิศวกรรมเครือข่าย เขาเริ่มรู้สึกว่าทัศนคติเดิมกำลังเป็นอุปสรรคในการสร้างทีมที่แข็งแรง
“พูดตามตรง ผมไม่ค่อยให้เวลา หรือใส่ใจกับคนในทีมที่ผมมองว่าไม่ใช่คนเก่ง มันทำให้ผมไม่สามารถยกระดับมาตรฐานโดยรวมของทีมได้เลย”
แต่หลังจากเขาเปลี่ยนแนวทางการทำงานใหม่ เน้นยกระดับศักยภาพของทีมแทนการมองหาคนที่เก่งที่สุด เขาก็พบว่าผลลัพธ์ของงานออกมาดีกว่าที่คาดไว้ เพราะทีมเริ่มมีเป้าหมายร่วมกัน เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ถ้าวัยทำงานอยากเติบโตจริง ให้มองเกมระยะยาว อย่าหวังผลสั้นๆ
แนวคิดนี้คล้ายกับสิ่งที่ ไซมอน ซิเน็ก (Simon Sinek) นักเขียนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำกล่าวไว้เช่นกัน เขาแนะนำว่าวัยทำงานควรเลิกยึดติดกับรางวัล หรือความสำเร็จเฉพาะหน้าในที่ทำงาน แล้วหันมามองที่ "โมเมนตัม" หรือแรงขับเคลื่อนในระยะยาวในอาชีพ
“ในที่ทำงาน ไม่มีใครเป็นผู้ชนะตลอดเวลา เป้าหมายก็มีไว้ตั้งให้เห็น ไม่ใช่มีไว้หลงใหลเกินเหตุ บางครั้งคุณก็ทำได้ บางครั้งคุณก็พลาด แต่สิ่งสำคัญคือ คุณยังเดินหน้าต่อหรือเปล่า?” ผู้เชี่ยวชาญ อธิบายให้เห็นภาพชัด
ซิเน็ก เรียกแนวคิดนี้ว่า “infinite mindset” หรือมุมมองแบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งหมายถึงการมองการเติบโตของการทำงานแบบต่อเนื่องและยั่งยืน ไม่ใช่แค่การแข่งขันชั่วคราว เพราะสุดท้ายรางวัลต่างๆ ก็จะตามมาเองในระหว่างทาง
ขณะที่วอเตอร์สเองก็ยึดแนวทางนี้เช่นกัน เขาใช้วิธี “stacking days” หรือการพัฒนาตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ในทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องหวังให้แต่ละวันยิ่งใหญ่ ขอแค่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เขาเชื่อว่าการสะสมพัฒนาการแบบนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ในระยะยาว
“ไม่ว่าจะเป็นก้าวเล็กหรือก้าวใหญ่ แค่คุณเดินหน้าทุกวัน อีกสิบปีข้างหน้า คุณจะมองย้อนกลับมาแล้วทึ่งกับตัวเองแน่นอน” เขาบอกทิ้งท้ายในที่สุด
อ้างอิง: CNBC Make it, Robert Walters







