สิทธิ์และความเชื่อ การจากไปอย่างสมัครใจและสุขใจ | อาหารสมอง

สิทธิ์และความเชื่อ การจากไปอย่างสมัครใจและสุขใจ | อาหารสมอง

“...ผมเชื่อตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นว่า ความทุกข์ยากลำบากและการไร้ศักดิ์ศรีในตอนช่วงปลายชีวิตนั้น ไม่ใช่สิ่งจำเป็น และผมกำลังกระทำตามความเชื่อนั้น..."

"ผมยังมีพลังและสนุกกับหลายสิ่งในชีวิต และจะตายอย่างคนมีความสุข แต่ไตของผมกำลังเลวร้ายลง ความสามารถในการคิดของผมก็เริ่มเสื่อมถอย ผมอายุ 90 ปีแล้ว มันถึงเวลาที่ผมจะไปได้แล้ว”

นี่คืออีเมลที่คนดังระดับโลกส่งถึงเพื่อน ๆ และญาติก่อนที่จะจบชีวิตตัวเองลงอย่างสมัครใจโดยมีการช่วยเหลือ (Assisted Suicide, AS)

สิ่งที่เขากระทำลงไปกระตุ้นให้ชาวโลกถกเถียงประเด็นการจากไปอย่างสมัครใจอีกครั้ง เจ้าของอีเมลนี้คือ Daniel Kahneman ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2545 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ มี.ค.2567 แต่เพิ่งเปิดเผยเมื่อปลายเดือน มี.ค.2568

Kahneman เป็นนักจิตวิทยาชาวอิสราเอลและหลงใหลเศรษฐศาสตร์ ในภายหลังเขาทำงานวิจัยด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์มาอย่างยาวนานจนเรียกได้ว่าเป็น “ปู่ของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม" (Behavioral Economics) ซึ่งเป็นสาขาที่โด่งดังในปัจจุบัน

เพราะช่วยในการเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะในเรื่องการตัดสินใจ เขาท้าทายเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่บอกว่า “มนุษย์เป็นผู้มีเหตุมีผล”

งานวิจัยของเขาพบว่ามนุษย์ตัดสินใจบ่อยครั้งโดยใช้ความเอนเอียงในใจ และขาดเหตุผลเขาให้ทั้งคำอธิบายและเเสนอแนะทางออก

Kahneman จบชีวิตของเขาที่สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนแรกที่ยอมให้มีการจบชีวิตตนเองอย่างสมัครใจ โดยการช่วยเหลืออย่างถูกกฎหมายตั้งแต่ปี 2485 เป็นเวลาหลายปีที่ประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทางของคนมีเงินจากทั่วโลกที่ต้องการจบชีวิตแบบ Kahneman 

เมื่อความต้องการจบชีวิตอย่างสมัครใจเป็นประเด็นขึ้นในโลกจนกลายเป็นกระแสหลัก ในปัจจุบันก็มีอีกหลายประเทศที่เดินเส้นทางเดียวกัน แต่มีเงื่อนไขที่เข้มงวดแตกต่างกันบ้าง

เช่น กระทำได้หากกำลังจะเสียชีวิตโดยการแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือได้ มีความเจ็บปวดทรมาน ไม่ต้องการอยู่ในโลกนี้ สูงอายุจนช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องการตายอย่างมีศักดิ์ศรีอย่างสามารถกำหนดลักษณะและวันเวลาที่จากไป ฯลฯ 

ประเทศเหล่านี้ได้แก่ เนเธอร์แลนด์เเละเบลเยียม (ถูกกฎหมายในปี 2545) ลักเซมเบิร์ก (2552) แคนาดา (2559) ออสเตรเลีย (2562) สเปน (2563) นิวซีแลนด์ (2564) ออสเตรีย (2565) และสหรัฐ (2568)

ในบางประเทศถูกกฎหมายเฉพาะบางรัฐ เช่น สหรัฐถูกกฎหมายใน 10 รัฐ และ เขต D.C. (เมืองหลวง) ออสเตรเลียนั้นแตกต่างกันในแต่ละรัฐ

นอกจาก AS หรือจบชีวิตลงด้วยความสมัครใจของตนเองอย่างมีการช่วยเหลือแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือ Euthanasia หรือ Mercy Killing (MC หรือการุณยฆาต) ซึ่งหมายถึงการยุติชีวิตให้แก่ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคที่ไม่มีทางรักษาโดยเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากความทุกข์ทรมานตามความประสงค์ของผู้ป่วย

กรณีของ MC คนอื่นเป็นผู้กระทำให้ เช่น ถอดปลั๊กไฟฟ้าของเครื่องสนับสนุนการทำงานของร่างกาย การหยุดการรักษา การไม่พยุงชีพเพื่อยื้อชีวิตผู้ป่วยระยะสุดท้าย (ผมจะพูดถึงกรณีของประเทศไทยในตอนท้ายของข้อเขียนนี้) ฯลฯ

ส่วนกรณีของ AS นั้นผู้ต้องการจบชีวิตกระทำเองด้วยการกดปุ่มเพื่อให้สารเคมีเข้าสู่ร่างกายด้วยการฉีดยาด้วยตนเอง หรือกระทำการอื่น ๆ อันเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิต

ในโลกมีประเทศที่ไม่ถูกกฎหมายทั้ง 2 แบบ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส (MC ผิดกฎหมาย แต่กำลังร่างกฎหมายให้มี AS) ไอร์แลนด์ และประเทศเอเชียส่วนใหญ่ เช่น จีน ยกเว้นอินเดียและญี่ปุ่นที่ยอมให้มี MC ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด 

ปวดหัวกว่านี้ก็มีบางประเทศ เช่น AS ถูกกฎหมาย แต่ MC ผิดกฎหมาย เช่น ออสเตรีย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ที่ MC ผิดกฎหมายแต่ AS ถูกกฎหมายในบางรัฐดังกล่าวแล้ว และที่น่าประหลาดใจก็คือสวิตเซอร์แลนด์ที่ AS มีมาก่อนใคร แต่ MC ผิดกฎหมาย

คำถามที่น่าสงสัยก็คือ เหตุใดจึงมีความคิดที่แตกต่างกันในหลายสังคม ขอเริ่มด้วยการสรุปว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ AS เป็นทางโน้มของโลกในปัจจุบันขึ้นทุกทีดังนี้ 

(1) คนในโลกตะวันตกมีความเชื่อในเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่ต้องการจบชีวิตลงด้วยความไม่แน่นอน ต้องการความสามารถในการเลือก มีเกียรติและศักดิ์ศรีตอนท้ายของชีวิต

(2) โลกมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น คนเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานมีมากขึ้น ไม่อยากอยู่อย่างไร้ความหวัง มีคุณภาพชีวิตที่เลวร้ายลงทุกที ฯลฯ จึงเห็นว่า AS เป็นทางเลือกหนึ่ง

(3) สังคมเปิดเผยมากขึ้น มีการพูดกันถึงความตายอย่างเปิดเผยไม่หลีกเลี่ยงดังสมัยก่อน มีการพูดถึงคุณภาพชีวิตทั้งด้านกายและใจและความสามารถในการควบคุมชีวิตของตนเอง

(4) มีความกังวลว่าจะเป็นภาระของครอบครัว สูญเสียความเป็นตัวตนและอำนาจในการกำหนดชีวิตตนเอง

(5) เลียนแบบข้ามประเทศโดยมีแรงกดดันจากประชาชนมากขึ้นที่ต้องการเห็น AS และ MC เป็นทางเลือกดังที่มีอยู่ในสังคมอื่น

สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับ AS นั้นกังวลในเรื่อง 

(1) ความสมัครใจของผู้ต้องการจบชีวิต กลัวการถูกบีบทางตรงและทางอ้อมโดยรัฐ (รักษาพยาบาลต่อไปเสียเงินมาก) ครอบครัว หรือบุคคล (หวังมรดก) หรือถูกหลอกลวง

(2) คนป่วยทางจิตที่ไม่อาจตัดสินใจด้วยตนเองได้ดังเช่นคนทั่วไปจะเสียประโยชน์

(3) จะขีดเส้นตรงที่ใดหากไม่ระวัง เช่น ยอมให้คนใช้วิธี AS ได้ไกลแค่ไหน เช่น คนหน่ายชีวิต คนป่วยเรื้อรังแต่อาจรักษาพยาบาลได้ในภายหลัง คนมีปัญหาทางจิตหรือทางการเงิน คนยากจนที่อยากจากโลกนี้ไป ฯลฯ 

(4) ความเชื่อทางศาสนา ในบางศาสนานั้นพระเจ้าเป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ตายหรืออยู่ ไม่ใช่ปัจเจกบุคคล ศาสนาพุทธและความเชื่อด้านตะวันออก เห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การฆ่าตัวตายเป็นบาป เป็นการไม่สู้ชีวิต ฯลฯ

สำหรับ MC นั้น ที่เกรงกันก็คือการตัดสินใจในขั้นสุดท้ายว่าให้จบชีวิตลงนั้นกระทำกันอย่างไร มีกลไกป้องกันผลประโยชน์ของผู้ป่วยที่รัดกุมหรือไม่ มีการเห็นแก่ตัวของคนอื่นเเอบซ่อนอยู่ด้วยหรือไม่ ฯลฯ

ประเทศไทยมี MC ที่ก้าวหน้าของประเทศหนึ่งในเอเชีย( AS ผิดกฎหมาย) ซึ่งจำนวนมากไม่ยอมรับทั้ง AS และ MC พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 มาตรา 2 ระบุว่า

“บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตนหรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้” 

 หนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวกำหนดอยู่ในกฎกระทรวง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ทำสมุดมีชื่อว่า “เบาใจ” แจกผู้สนใจโดยข้างในมีแบบกรอกข้อความเเสดงเจตนาระบุไว้ล่วงหน้าก่อนเจ็บป่วยในวาระสุดท้ายว่าให้ดำเนินการ MC โดยไม่ให้พยุงชีวิตเพื่อยื้อชีวิตในระยะสุดท้ายอย่างไร้ประโยชน์ เสียเงินทอง และเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น

 สนใจดาวน์โหลดสมุดเบาใจดังกล่าวได้ที่ https://baojai.co หรือทางไลน์ @peacefuldeath และเฟซบุ๊ค peaceful death