ไฟการทำงานดับกลางทาง แพทย์ฝึกหัดสหรัฐจบชีวิต หมดไฟถึงขีดสุด!

เขย่าวงการแพทย์ฝึกหัดในอเมริกา เมื่อ ดร.นาคิตา มอร์ติเมอร์ ผู้เคยเป็นผู้นำจัดตั้งสหภาพแพทย์ฝึกหัด เรียกร้องชั่วโมงงานที่เป็นธรรม แต่เธอกลับจบชีวิตตนเองในที่สุด
KEY
POINTS
- แม้จะมีการเรียกร้องมานาน แต่แพทย์ประจำบ้านยังต้องทำงานหนักถึง 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสี่ยงภาวะหมดไฟและซึมเศร้า โดยบางคนมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองเป็นครั้งแรกระหว่างฝึกงาน
- ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตยังถูกตีตรา แม้จะมีบริการสนับสนุนสุขภาพจิต แต่แพทย์รุ่นใหม่หลายคนลังเลที่จะใช้ เพราะกลัวถูกมองว่าไม่เหมาะกับวิชาชีพที่ต้องแบกรับความกดดันสูง
- การสูญเสีย ดร.นากีตา มอร์ติเมอร์ แพทย์หญิงผู้นำด้านสิทธิแรงงานและความเท่าเทียม จุดประกายการเปลี่ยนแปลงให้ทุกฝ่ายหันมาให้ความสำคัญกับชั่วโมงการทำงานและสุขภาพจิตของแพทย์มากขึ้น
ปัญหาภาวะหมดไฟในการทำงานไม่ได้เกิดกับพนักงานบริษัทในหลายอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่บางสายอาชีพกลับพบปัญหานี้หนักหน่วงมากกว่า เรากำลังพูดถึงสายอาชีพบุคลากรทางการแพทย์ ที่ช่วงหลังมานี้มีรายงานภาวะหมดไฟ (Burnout) ถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มแพทย์พยาบาลคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มแสดงออกให้เห็นว่าปัญหานี้ส่อแววรุนแรงกว่าคนรุ่นก่อนๆ
ล่าสุด.. เกิดเหตุน่าเศร้าในวงการแพทย์ฝั่งอเมริกา เมื่อมีรายงานว่า ดร.นาคิตา มอร์ติเมอร์ (Nakita Mortimer) หนึ่งในแพทย์ฝึกหัดฝีมือดี ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำจัดตั้งสหภาพแพทย์ฝึกหัด เรียกร้องชั่วโมงงานที่เป็นธรรม แต่เธอกลับจากโลกนี้ไปด้วยการจบชีวิตตนเอง ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากเพื่อนร่วมอาชีพที่เริ่มตั้งคำถามถึงสุขภาพจิตและความยั่งยืนของระบบฝึกงานในโรงพยาบาล
เหตุการณ์ดังกล่าวกำลังปลุกกระแสให้วงการแพทย์ในสหรัฐ หันกลับมาทบทวนเงื่อนไขการฝึกงานที่กัดกินสุขภาพจิตของบุคลากรทางการแพทย์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ไฟการทำงานของแพทย์ฝึกหัดที่ลุกโชน แต่กลับดับลงกลางทาง?
ดร.นาคิตา มอร์ติเมอร์ เป็นผู้นำมาตลอดชีวิต ตั้งแต่เป็นพี่คนโตในครอบครัวที่อพยพจากเฮติมาเรียนต่อในสหรัฐฯ ในปี 2012 จนถึงช่วงที่เธอฝึกงานด้านวิสัญญีแพทย์ที่ Montefiore Medical Center ในนิวยอร์ก เธอเป็นแกนหลักในการจัดตั้งสหภาพแพทย์ฝึกหัด เพื่อผลักดันให้มีการปรับปรุงสภาพการทำงานที่หนักหน่วง และกดดันเกินรับไหวสำหรับคนวัยเริ่มต้นอาชีพ
“ความจริงที่ว่าอาชีพแพทย์มีอัตราการหมดไฟและการฆ่าตัวตายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอาชีพอื่น แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลง” ดร.นาคิตา เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้กับสื่อท้องถิ่น The City เมื่อพฤศจิกายน 2022
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เธอก็จากไปด้วยการจบชีวิตตนเอง การสูญเสียครั้งนี้ทำให้เพื่อนร่วมวิชาชีพตื่นตัว และเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการดูแลสุขภาพจิตและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
“เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นเธอ แต่เธอกลับจากไปแบบนี้ นั่นมันยิ่งทำให้รู้ว่าเหตุการณ์นี้อาจเกิดกับใครก็ได้ในหมู่พวกเรา” ดร.จอรี ฮ็อดเจส (Jhori Hodges) เพื่อนร่วมชั้นแพทย์ สะท้อนความในใจ
เมื่อการขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต กลายเป็นเรื่องไม่กล้าเปิดเผย
การเสียชีวิตของเธอไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่สะเทือนวงการแพทย์ จากผลสำรวจปี 2024 โดยองค์กร Physicians Foundation พบว่า เกือบ 1 ใน 4 (25%) ของแพทย์ฝึกหัดเคยคิดทำร้ายตัวเอง และ 1 ใน 5 ของพวกเขา ก็รายงานว่ารู้จักเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานที่เคยคิดฆ่าตัวตายในช่วงปีที่ผ่านมา
แพทย์ฝึกหัดหลายคนลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ แม้จะมีบริการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่าไม่เหมาะกับงานที่ต้องรับความเครียดสูง หลายคนเผยว่า เริ่มมีความคิดอยากตายเป็นครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงฝึกงานในโรงพยาบาลแล้ว
องค์กร Dr.Lorna Breen Heroes' Foundation ซึ่งตั้งขึ้นหลังการเสียชีวิตของผู้อำนวยการห้องฉุกเฉินในนิวยอร์กเมื่อปี 2020 ได้ผลักดันให้ 34 คณะกรรมการแพทย์ของรัฐ และโรงพยาบาลกว่า 500 แห่ง ลบคำถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพจิตออกจากแบบฟอร์มใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
“เรายังอยู่ท่ามกลางทุ่นระเบิดของความอัปยศที่ฝังอยู่ในระบบ” คอรี ไฟสต์ (Corey Feist) ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิ บอก
ระบบฝึกงานแพทย์ที่ "หนักหน่วง เหนื่อยล้า จนใจพัง"
การฝึกงานในวงการแพทย์มักถูกมองว่าเป็นบททดสอบชีวิต ก่อนจะเป็นแพทย์เต็มตัว หมอฝึกหัดต้องผ่านการทำงานหนักถึง 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเวรที่ยาวนานถึง 28 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี
ตารางชีวิตสุดโหดนี้คือสิ่งที่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย ดร.ศรีจัน เซน (Srijan Sen) แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่า อัตราภาวะซึมเศร้าในหมอฝึกหัดปีแรกพุ่งขึ้นมากกว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงจบการศึกษาแพทย์
แม้สายงานอื่น เช่น การเงินและกฎหมาย จะมีความเข้มข้นไม่แพ้กัน แต่สิ่งที่ต่างคือค่าตอบแทน หมอฝึกหัดในปี 2024 ได้เงินเดือนเฉลี่ย 67,000 ดอลลาร์ ขณะที่แบกหนี้เรียนเฉลี่ยถึง 200,000 ดอลลาร์
ครอบครัวของแพทย์ที่เสียชีวิตหรือพยายามฆ่าตัวตายออกมาพูดว่า ระบบการทำงานของแพทย์ในปัจจุบันสร้างแรงกดดันที่มากเกินไป “เราต้องเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาสุขภาพจิตในวิชาชีพของเราโดยสิ้นเชิง” ดร.ริชาร์ด บูเลย์ (Richard Boulay) สูตินรีแพทย์ด้านมะเร็งกล่าว หลังลูกสาวของเขาพยายามฆ่าตัวตายในช่วงฝึกงานศัลยกรรมทั่วไปเมื่อปี 2021
แม้สภาการรับรองหลักสูตรแพทย์เฉพาะทาง ACGME จะกำหนดให้ทุกโปรแกรมต้องจัดบริการสุขภาพจิตแบบเป็นความลับ ให้สิทธิ์ลางานในกรณีเจ็บป่วย ฉุกเฉิน หรือคลอดบุตร แต่แพทย์หลายคนยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถร้องเรียนสภาพการทำงานได้โดยไม่ถูกลงโทษ
ขณะที่ ดร.แมรี คลิงเกนสมิธ (Mary Klingensmith) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ACGME ระบุว่า ขณะนี้องค์กรกำลังหาวิธีรับประกันว่าแพทย์ฝึกหัดจะสามารถรายงานปัญหาได้โดยไม่ต้องกลัว
มรดกของ ดร.นาคิตา ยังอยู่ เพื่อนร่วมอุดมการณ์สะท้อนปัญหาให้ยิ่งชัด
การเสียชีวิตของ ดร.นาคิตา กระทบจิตใจเพื่อนร่วมงานอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในแพทย์ฝึกหัดปีแรกอย่าง ดร.เจสซิกา มิตเตอร์ (Jessica Mitter) สะท้อนความเห็นว่า “แพทย์ฝึกหัดหลายๆ คนมองเห็นตัวเองในตัวเธอ” ขณะที่สหภาพแพทย์ฝึกหัดที่ ดร.นาคิตา ช่วยจัดตั้งขึ้น ล่าสุดพบว่าสามารถผลักดันให้ข้อสัญญาฉบับแรกผ่านการอนุมัติได้แล้วในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นั่นคือการเพิ่มเงินเดือน 18% และเพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต
นอกจากนั้นโรงพยาบาล Montefiore ยังได้จัดให้มีระบบติดตามสุขภาพใจแพทย์ฝึกหัดปีแรกอย่างต่อเนื่อง โดยแถลงผ่านโซเชียลว่า "ดร.นาคิตา คือผู้นำผู้เปี่ยมเมตตา และเป็นแรงผลักดันของการเปลี่ยนแปลงในระบบการทำงานของแพทย์"
ในช่วงเรียนแพทย์ ดร.นาคิตา เป็นสมาชิกกลุ่ม White Coats for Black Lives เพื่อนร่วมรุ่นต่างชื่นชมในความกล้าแสดงออกต่อผู้มีอำนาจ และความไว้ใจได้ในฐานะเพื่อนสนิท แม้กระจายกันไปฝึกงานตามเมืองต่างๆ แต่พวกเขายังพูดคุยกันในแชตกลุ่ม และรวมตัวกันเสมอเมื่อมีโอกาส
ดร.เรเฮมา โธมัส (Rehema Thomas) เพื่อนสนิทที่ปัจจุบันฝึกงานอยู่ที่ศูนย์มะเร็ง MD Anderson ในฮิวสตัน เล่าว่า เธอกับ ดร.นาคิตา เคยนัดเต้นรำด้วยกันในนิวยอร์ก ช่วงที่เธอมาฝึกงานที่นั่นในปี 2022-23 และบอกว่า “นาคิตาเป็นคนร่าเริง แต่ในขณะเดียวกันก็ลึกซึ้ง”
หลังเริ่มฝึกงาน ดร.นาคิตา เริ่มห่างจากครอบครัว เธอไม่ค่อยได้โทรคุยกับน้องๆ เหมือนแต่ก่อน และติดต่อกลับหลังจบเวรหรือช่วงที่มีเวลาพักแค่ไม่กี่ชั่วโมง ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2023 เธอพลาดขึ้นเครื่องไปร่วมงานรับปริญญาของน้องสาวที่จบจาก Harvard School of Design ครอบครัวขอให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจที่พักของเธอในหอพักแพทย์ และพบว่าเธอกำลังนอนพักอยู่
“ลูกแค่เหนื่อยจากเวรใช่ไหม พ่อแม่เข้าใจนะ ถ้าไปไม่ไหวก็ไม่เป็นไร” พ่อแม่บอกเธอผ่านวิดีโอคอล ส่วน ดร.นาคิตา เธอก็ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีกับน้องสาว และในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากนั้น... ครอบครัวก็สูญเสียเธอไป หลายฝ่ายได้แต่หวังว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับแพทย์คนไหนอีก ขณะที่เหล่าบรรดาแพทย์รุ่นใหม่เองก็หันมาเรียกร้องเรื่องชั่วโมงการทำงานของแพทย์กันต่อไป
อ้างอิง: The Wall Street Journal, CDC, JamaNetwork, UCSD, SrijanSenLab







