แม้ไม่ย้ายงานก็ต้องเร่งอัปสกิล อย่ารอให้บริษัทกำหนดอนาคตคุณ

อย่ารอให้บริษัทดูแลอนาคตคุณ! ยุคนี้ใครไม่ลุกขึ้นวางแผนชีวิตเอง เสี่ยงไม่รอด เมื่อโลกการทำงานไม่มั่นคงอีกต่อไป ทักษะเก่าๆ หมดอายุเร็ว พนักงานต้องเร่งอัปเกรดตัวเอง
KEY
POINTS
- อนาคตเส้นทางอาชีพอยู่ในมือคุณ ไม่ใช่บริษัท อย่ารอให้องค์กรวางแผนอาชีพให้ เพราะโลกการทำงานเปลี่ยนเร็วเกินกว่าจะพึ่งพาบริษัทได้อีกต่อไป คุณต้องวางแผนอนาคตตัวเอง
- การอัปสกิลคือการลงทุน ไม่ใช่แค่สิทธิพิเศษ แม้บริษัทไม่สนับสนุนงบหรือเวลา แต่การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ก็จำเป็นเกินกว่าจะไม่สนใจ เพราะทักษะเหล่านี้จะติดตัวคุณ และคือเกราะป้องกันความไม่มั่นคงในอาชีพ
- อย่ารอจนต้องหางาน ถึงจะเริ่มสร้างเครือข่าย การรู้ทันตลาดและสร้างคอนเน็กชันควรทำตั้งแต่ยังไม่ต้องการเปลี่ยนงาน เพราะเมื่อโอกาสมาถึงจริง คุณจะพร้อมกว่าใคร!
คุณคิดว่าองค์กรจะดูแลเส้นทางอาชีพให้คุณใช่ไหม? ..ลองคิดใหม่! เพราะยุคนี้งานไม่มั่นคงเหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าไม่ลุกขึ้นมาอัปสกิลเอง อาจไม่ทันโลกที่เปลี่ยนเร็ว อาจถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องวางแผนอนาคตเอง อย่ารอให้บริษัทวางเส้นทางอาชีพ (Career Path) ให้คุณ ถ้าคุณไม่เริ่มวางแผนอนาคตตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ก็อาจกลายเป็นคนล้าหลังไปแล้ว
เมื่อก่อน การเติบโตในสายอาชีพเป็นหน้าที่ขององค์กร พอเรียนจบและได้งาน บริษัทจะจัดอบรม ส่งไปเรียนคอร์สใหม่ เปิดโอกาสให้โยกย้ายตำแหน่ง และให้ความมั่นคงระยะยาว หากคุณทำผลงานดีและภักดีต่อองค์กร แต่ตอนนี้..ความมั่นคงแบบนั้นกำลังหายไป
การมาถึงของ AI และระบบอัตโนมัติทำให้หลายทักษะล้าสมัยในเวลาอันรวดเร็ว และแม้บริษัทจะเร่ง “รีสกิล” พนักงาน แต่สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญก็คือ ความต้องการของธุรกิจ ไม่ใช่แผนระยะยาวของพนักงานแต่ละคน ดังนั้น "ความมั่นคงในการทำงาน" ของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัทอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำให้ตัวเอง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดงาน
ยุคของอาชีพการงานที่ 'คุณ' ต้องบริหารเอง
เดวิด ฟาโน (David Fano) ซีอีโอของแพลตฟอร์ม Teal สะท้อนความเห็นว่า พนักงานยุคนี้ต้องเป็นผู้ควบคุมเส้นทางอาชีพของตัวเอง แม้จะทำงานประจำก็ตาม เขาย้ำในพอดแคสต์รายการหนึ่งว่า
“อย่ารอให้บริษัทเป็นฝ่ายเทรนคุณ คุณต้องเทรนตัวเอง อย่ารอให้เขาทบทวนเงินเดือนแล้วค่อยหวังขึ้นเงินเดือน คุณต้องรู้คุณค่าของตัวเองและลุกขึ้นไปคว้ามันมา” เขา บอก
แม้ว่าคุณจะพอใจกับงาน บริษัท และเส้นทางอาชีพปัจจุบัน แต่ไม่วันใดก็วันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงก็จะมาถึงแน่นอน และมันจะมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะความรู้ล้าสมัยเร็วขึ้น และเทคโนโลยีเข้ามาปรับโครงสร้างงานอยู่ตลอด คุณอาจไม่ได้เกษียณจากบริษัทเดิม หรือแม้แต่ในสายอาชีพเดิมด้วยซ้ำ
นั่นหมายความว่า คุณต้องเป็นคนกำหนดทิศทางเอง อัปเดตทักษะอยู่เสมอ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม และสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเองในฐานะมืออาชีพที่ไม่หลุดขบวน
ถ้าบริษัทไม่ออกเงินให้ไปอัปสกิล ก็ลงทุนเองซะเลย!
แม้หลายบริษัทจะมีงบอบรม รีสกิล-อัปสกิล หรือมีแพลตฟอร์มพัฒนาอาชีพให้พนักงาน แต่หัวหน้าทีมส่วนใหญ่มักมุ่งทำงานประจำวัน จนลืมกระตุ้นให้คนในทีมใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ฟาโน ชี้ว่า “คนจำนวนมากไม่ได้ใช้สิทธิ์เลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ยอมสละเวลาให้ตัวเอง”
ดังนั้นคุณควรคิดใหม่ทำใหม่ โดยขั้นแรกคือ สละเวลาเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่เพื่อทำงานวันนี้ให้ดี แต่เพื่อคว้าโอกาสในวันหน้า และควรมีงบของตัวเองสำหรับการพัฒนาทักษะ ถ้าทักษะที่คุณสนใจไม่ตรงกับงานปัจจุบัน หรือบริษัทไม่พร้อมสนับสนุน อย่าเพิ่งถอดใจ ให้พยายามด้วยตนเอง เพราะถ้ารออยู่นิ่งๆ ก็เหมือนกัยเราถอยหลังไปเรื่อยๆ
ลองค้นคว้าและลงทุนไปกับคอร์สเรียนเพิ่มทักษะ ที่มีใบประกาศให้ตอนเรียนจบ หรือมองหาเครือข่ายอาชีพเพิ่มเติม แม้ต้องจ่ายเอง ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความมั่นคงระยะยาว เพราะมืออาชีพที่แท้จริงรู้ว่า การอัปสกิลไม่ใช่สิทธิประโยชน์จากบริษัท แต่มันคือ “กลยุทธ์เอาตัวรอด”
จำไว้ว่าสกิลทั้งหมดจะติดตัวคุณไป ไม่ว่าคุณจะอยู่บริษัทไหน นั่นคือสิ่งที่ควรลงทุนเสมอ
เรียนรู้เครื่องมือใหม่ แม้วันนี้ยังไม่ต้องใช้ก็ไม่เป็นไร เป็นก่อนดีกว่า!
แพลตฟอร์ม AI ซอฟต์แวร์อัตโนมัติ และ เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สายเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่ใช้ได้ในแทบทุกอุตสาหกรรม และถ้าคุณรอให้บริษัทสั่งให้เรียนเมื่อถึงเวลา ก็อาจจะสายเกินไป
ฟาโน ย้ำว่า วัยทำงานไม่ได้เรียนเพิ่มเพื่อหัวหน้าหรือเพื่อบริษัท แต่ต้องเรียนเพื่อตัวคุณเอง ทุกประสบการณ์ที่คุณเก็บเกี่ยวได้ คือสกิลที่ติดตัวคุณไปตลอด ความสัมพันธ์ที่คุณสร้างไว้ ก็เป็นของคุณเช่นกัน
แม้งานที่ทำอยู่วันนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้ AI หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ถ้าคุณเรียนรู้ไว้ก่อน ก็จะพร้อมเมื่อมันกลายเป็นสิ่งจำเป็น และนอกจากจะพร้อมรับมือ คุณยังอาจได้โอกาสใหม่ๆ ก่อนใคร เพราะคนที่ขยันอัปเดตโปรไฟล์และแสดงให้เห็นว่า "ไม่เคยหยุดเรียนรู้" ย่อมดึงดูดสายตาของคนที่มองหาอนาคตเช่นกัน
ปรับตัวให้พร้อมไว้ก่อน รู้ทันตลาด แม้ยังไม่คิดจะย้ายงานก็ตาม
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานประจำยุคนี้คือ เปลี่ยนมุมมองจาก “หาเวลามองหางาน” มาเป็น “ตื่นตัวตลอดเวลา” คอยดูว่าตลาดกำลังไปทางไหน และความสนใจหรือทักษะของคุณตรงกับโอกาสใหม่ๆ ที่ไหนบ้าง
นั่นคือเหตุผลที่ "การสร้างเครือข่าย" ไม่ได้มีไว้แค่ตอนตกงาน เวลาที่ดีที่สุดในการสร้างความสัมพันธ์ คือ ช่วงที่ยังไม่ต้องพึ่งพาใคร ไม่ว่าจะเป็นการไปงานสัมมนา เข้าชุมชนออนไลน์ หรือพูดคุยกับคนในสายอาชีพผ่าน LinkedIn เป้าหมายก็เพื่อเข้าใจว่าอะไรเปลี่ยนไปบ้าง และคุณจะต้องปรับตัวยังไง
การพูดคุยกับคนในวงการไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือไม่ภักดีต่อองค์กร เพราะแม้แต่พนักงานประจำที่ประสบความสำเร็จ ก็ยังควรคิดเผื่อเรื่องการต่อยอดทักษะ หางานเสริมหรือโปรเจกต์ข้างเคียง ไปจนถึงขยายวงเครือข่ายใหม่ๆ เพื่อไม่ให้หลุดจากแวดวงในสายงาน
ดังนั้น ในเมื่อ “บันไดเลื่อนขององค์กร” ไม่มีอยู่อีกแล้ว ความมั่นคงในระยะยาวก็หายไปด้วย สิ่งเดียวที่คุณพึ่งพาได้คือความสามารถที่คุณสร้างเอง คำถามถัดมาจึงไม่ใช่ว่า “ควรเริ่มควบคุมเส้นทางอาชีพตัวเองหรือยัง” แต่คือ “คุณยังจะรอได้อีกนานแค่ไหน?” ต่างหาก
อ้างอิง: Forbes







