ภัยพิบัติธรรมชาติ ควรร่างกฎหมายเพิ่มแบบการทำพินัยกรรมหรือไม่

ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดการทำพินัยกรรมแบบที่ 6 เพิ่มเติมจากที่กฎหมายรับรอง สำหรับกรณีผู้ทำพินัยกรรมประสบเหตุภัยพิบัติธรรมชาติอย่างฉับพลัน เช่น แผ่นดินไหวที่ผ่านมา
แม้ถึงว่ามีบทบัญญัติมาตรา 1663 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า
“เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษซึ่งบุคคลใดไม่สามารถจะทำพินัยกรรมตามแบบอื่นที่กำหนดไว้ได้ เช่น ตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตาย หรือเวลามีโรคระบาด หรือสงคราม
บุคคลนั้นจะทำพินัยกรรมด้วยวาจาก็ได้ เพื่อการนี้ ผู้ทำพินัยกรรมต้องแสดงเจตนากำหนดข้อพินัยกรรมต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนซึ่งอยู่พร้อมกัน ณ ที่นั้น
พยานสองคนนั้นต้องไปแสดงตนต่อกรมการอำเภอโดยมิชักช้า และแจ้งข้อความที่ผู้ทำพินัยกรรมได้สั่งไว้ด้วยวาจานั้น ทั้งต้องแจ้งวัน เดือน ปี สถานที่ที่ทำพินัยกรรมและพฤติการณ์พิเศษนั้นไว้ด้วย
ให้กรมการอำเภอจดข้อความที่พยานแจ้งนั้นไว้ และพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อไว้ หรือมิฉะนั้นจะให้เสมอกับการลงลายมือชื่อได้ก็แต่ด้วยลงลายพิมพ์นิ้วมือโดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรองสองคน”
แต่ในสถานการณ์ที่ผู้ทำพินัยกรรมตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตาย หรือเวลามีโรคระบาด หรือสงคราม ผู้ทำพินัยกรรมย่อมไม่มีเวลานานมากพอที่จะแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายของตนไว้
อีกทั้งกฎหมายยังกำหนดขั้นตอนให้ผู้ทำพินัยกรรมต้องแสดงเจตนากำหนดข้อพินัยกรรมต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคน ซึ่งอยู่พร้อมกัน ณ ที่นั้นด้วย
ซึ่งในความเป็นจริงพบว่าในขณะนั้นผู้ทำพินัยกรรมอาจจะหาพยานจำนวนสองคนเพื่อมารับฟังการทำพินัยกรรมด้วยวาจาของตนไม่ได้
นอกจากนี้ บทบัญญัติมาตรา 1663 ยังกำหนดหน้าที่ให้พยานสองคนนั้นต้องไปแสดงตนต่อกรมการอำเภอ (นายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขต) โดยมิชักช้าและแจ้งข้อความที่ผู้ทำพินัยกรรมได้สั่งไว้ด้วยวาจานั้น ทั้งต้องแจ้งวัน เดือน ปี สถานที่ที่ทำพินัยกรรมและพฤติการณ์พิเศษนั้นไว้ด้วย
เห็นได้ว่าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทุกคนต่างต้องพยายามหาทางเอาชีวิตรอด พยานก็อาจจะเอาตัวเองไม่รอดเช่นกันที่
จากเหตุภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันไม่ทันได้ตั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่อยู่ในคอนโด อาคาร สำนักงาน สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ย่อมกลัวว่าจะถล่มหรือเกิดความเสียหายต่อชีวิต
ดังเช่นเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 แผ่นดินไหวในประเทศไทยทำให้ตึกอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินพังถล่มลงมาจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของประเทศ
หรือกรณีหากเกิดเหตุภัยพิบัติสึนามิ มนุษย์ที่อยู่ใกล้กับทะเลต่างฝ่ายต่างพยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากคลื่นยักษ์
ดังนี้ เห็นได้ว่าในเรื่องของแบบการทำพินัยกรรมตามกฎหมายไทยนั้น ยังมีข้อบกพร่องบางประการ เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยไม่สามารถใช้บังคับได้จริงในบางสถานการณ์
อีกทั้งในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำสมัยแล้ว ควรมีการเพิ่มเติมแบบในการทำพินัยกรรมขึ้นอีกหนึ่งแบบ นอกเหนือจากการทำพินัยกรรมแบบธรรมดา แบบเขียนเองทั้งฉบับ แบบเอกสารฝ่ายเมือง แบบเอกสารลับและแบบทำด้วยวาจาหรือแบบพฤติการณ์พิเศษ
ผู้เขียนเห็นว่า ควรเพิ่มเติมเป็นพินัยกรรมแบบที่ 6 คือ การทำพินัยกรรมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ หรือผ่านทางแอปพลิเคชันในโลกออนไลน์ เช่น Tiktok, Facebook, Zoom, Line หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ
ในทำนองเดียวกัน เพื่อให้ผู้ทำพินัยกรรมสามารถเลือกทำพินัยกรรมได้แบบ Real time ในขณะที่ตนใกล้ถึงแก่ความตายและยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
โดยผู้ทำพินัยกรรมไม่ต้องหาพยานที่อยู่ใกล้ตัวในสถานการณ์ที่เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ เป็นต้น
อีกทั้งพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว อาจไม่พร้อมที่จะรอรับฟังการสั่งเสียครั้งสุดท้ายของผู้ทำพินัยกรรม เนื่องจากต่างฝ่ายต่างต้องหนีเอาชีวิตรอดหรือพยานมีความประสงค์จะทำพินัยกรรมด้วยเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าการอนุญาตให้ผู้ทำพินัยกรรมเลือกทำพินัยกรรมแบบที่ 6 ได้นี้ ควรต้องเป็นการเผยแพร่คำสั่งสุดท้ายก่อนตายแบบ Real Time และผู้ทำพินัยกรรมตั้งค่าแอปพลิเคชันเป็นสาธารณะเพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลได้
การทำพินัยกรรมทางเลือกแบบที่ 6 นี้ ผู้ทำพินัยกรรมไม่ควรใช้เวลาในการสั่งเสียครั้งสุดท้ายก่อนตายนานมากนัก หากใช้เวลาในการกำหนดการเผื่อตายของตนนานเกินไป อาจชี้ให้เห็นว่าผู้ทำพินัยกรรมยังมีทางเลือกอื่น ๆ ในการทำพินัยกรรมก็เป็นไปได้
นอกจากนี้ ในการพิสูจน์ว่าผู้ทำพินัยกรรมมีสิทธิในการเลือกทำพินัยกรรมแบบที่ 6 นี้ อาจต้องอาศัยข่าวเหตุการณ์บ้านเมืองเพื่อชี้ให้เห็นว่าผู้ทำพินัยกรรมตกอยู่ในสถานการณ์คับขันที่ใกล้ถึงแก่ความตายจริง
กล่าวโดยสรุป พินัยกรรมแบบที่ 6 ที่ผู้เขียนประสงค์ให้เกิดขึ้นควรมีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้
(1) เป็นกรณีเมื่อมีภัยพิบัติธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ หรือภัยพิบัติธรรมชาติอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกัน ผู้ทำพินัยกรรมจะทำพินัยกรรมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ หรือผ่านทางแอปพลิเคชันอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันก็ได้
(2) ผู้ทำพินัยกรรมต้องทำพินัยกรรมแบบเรียลไทม์ โดยตั้งค่าแอปพลิเคชันแบบสาธารณะเพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลได้
(3) ให้การทำพินัยกรรมในรูปแบบนี้สิ้นผลใช้บังคับทันที หากภัยพิบัติธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ หรือภัยพิบัติธรรมชาติอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกันได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยที่ผู้ทำพินัยกรรมยังมีชีวิตอยู่และสามารถทำพินัยกรรมตามแบบอื่น ๆ ได้
ดังนั้น พินัยกรรมในรูปแบบใหม่นี้ ผู้เขียนเห็นว่าอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่งที่ช่วยอุดช่องว่างพินัยกรรมตามรูปแบบเดิมที่ต้องกระทำผ่านทางกระดาษเท่านั้น
และเป็นการอุดช่องว่างพินัยกรรมแบบทำด้วยวาจาหรือพฤติการณ์พิเศษตามมาตรา 1663 ที่ยังมีปัญหาบางประการเนื่องจากผู้ทำพินัยกรรมต้องอาศัยพยานอย่างน้อยสองคน
ในท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนมีความหวังว่า ระบบกฎหมายไทยจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้บังคับกับการกำหนดพินัยกรรมแบบใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดตรงกับเจตนาสุดท้ายของผู้ทำพินัยกรรม.