อย่าลาออกแบบหัวร้อน เปลี่ยน Revenge Quitting สู่การลาออกมืออาชีพ

แม้เทรนด์ ‘Revenge Quitting’ มาแรง แต่ในความเป็นจริง อย่าลาออกแบบหัวร้อน! ผู้เชี่ยวชาญแนะ 5 วิธีเปลี่ยนการลาออกด้วยอารมณ์ ให้กลายเป็น ‘การลาออกอย่างมืออาชีพ’
KEY
POINTS
- คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกลาออกแบบ “ล้างแค้น” (Revenge Quitting) เพราะรู้สึกไม่เป็นธรรมในการทำงาน แต่การลาออกด้วยอารมณ์อาจกระทบชื่อเสียงและโอกาสงานในอนาคตโดยไม่รู้ตัว
- ทางที่ดีควร “ลาออกอย่างมืออาชีพ” ต้องวางแผนและมีสติ พูดอย่างเหมาะสม เตรียมรับมือข้อเสนอยื่นกลับ ส่งต่องานให้เรียบร้อย และจากลาอย่างให้เกียรติกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การลาออกดูดี มีคลาส และไม่เผาสะพานอาชีพในอนาคต
- หากรู้สึกอึดอัดกับงาน ควรเริ่มจากการพูดคุยกับหัวหน้าอย่างตรงไปตรงมา และถ้าจำเป็นต้องลาออกจริงๆ ก็ควรทำด้วยความคิดรอบคอบ เพื่อรักษาโอกาสทางอาชีพในอนาคตของตัวเอง
ปีนี้เกิดแรงกระเพื่อมใหม่ในตลาดแรงงานสหรัฐ เมื่อคนทำงานรุ่นใหม่วางแผนลาออกล้างแค้น (Revenge Quitting) กันเพียบ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือน...หากลาออกเพราะโกรธ อาจเสี่ยงเสียอนาคตงานโดยไม่รู้ตัว
จากผลสำรวจล่าสุดของ SideHustle พบว่า ชาวอเมริกัน 1 ใน 5 วางแผนจะลาออกจากงานภายในสิ้นปี 2025 โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลและ Gen Z ที่เป็นผู้นำของเทรนด์นี้ อีกทั้งข้อมูลจาก Monster ยังเสริมว่า 93% ของพนักงานในสหรัฐฯ กำลังมองหางานใหม่ หรือมีแผนจะหางานในปี 2025 ขณะที่ยอดค้นหาคำว่า “how to quit a job” บน Google ก็เพิ่มขึ้นถึง 381% ภายในเดือนเดียว
แม้หลายคนจะตัดสินใจลาออกเพราะเหตุผลด้านอาชีพ แต่กระแส “Revenge Quitting” หรือ “ลาออกเพื่อล้างแค้น” กลับเป็นการลาออกอีกหนึ่งรูปแบบที่กำลังถูกพูดถึงไม่น้อย โดย 28% ของพนักงานประจำในสหรัฐฯ คาดว่าในปีนี้จะมีเหตุการณ์ลาออกในลักษณะนี้เกิดขึ้นในที่ทำงานของตน
Revenge Quitting เทรนด์มาแรง แต่มีความเสี่ยงสูง
Revenge Quitting คือ การลาออกโดยไม่แจ้งล่วงหน้า หรือเลือกลาออกเพราะความโกรธหรือความไม่พอใจที่สะสมมานาน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงาน Gen Z ที่รู้สึกว่าองค์กรไม่ให้ความเคารพ หรือไม่ตอบโจทย์ชีวิตการทำงาน เช่น การบังคับกลับเข้าออฟฟิศหลังโควิด (RTO Mandate)
เทรนด์นี้คล้ายกับ “Rage Quitting” (ลาออกเพราะโกรธจัด), “Rage Applying” (ยื่นสมัครงานใหม่แบบรัวๆ เวลารู้สึกถูกบริษัทปัจจุบันเอาเปรียบ) หรือแม้แต่ “Career Catfishing” (องค์กรหลอกล่อให้เข้าทำงานแต่สภาพจริงไม่เป็นไปตามสัญญา) ซึ่งกำลังสะท้อนความอัดอั้นในวัฒนธรรมการทำงานยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า Revenge Quitting อาจเป็นการตัดสินใจที่ขาดสติ แม้จะรู้สึกสะใจในช่วงเวลานั้น แต่ในระยะยาวอาจกระทบต่อชื่อเสียงวิชาชีพ และโอกาสในการได้งานในอนาคต เช่น ได้รีวิวไม่ดีจากเจ้านายเก่า หรือไม่ได้จดหมายรับรองเมื่อสมัครงานใหม่
เปลี่ยนจาก “Revenge Quitting” เป็น “Smart Quitting” ดีกว่า
ในผลสำรวจของ Monster ยังเผยว่า มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้คนตัดสินใจลาออกอย่างมีสติ เช่น
- ต้องการรายได้ที่สูงขึ้น (41%)
- ขาดโอกาสเติบโตในงานเดิม (40%)
- สภาพแวดล้อมในที่ทำงานเป็นพิษ (27%)
อีกหนึ่งผลสำรวจระบุว่า พนักงานถึง 66% เชื่อว่าการเปลี่ยนงานสามารถทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเป็นอีกคนที่กำลังคิดจะลาออก หรือรู้สึกว่า "ถึงเวลาแล้ว" ที่จะไปจากบริษัทที่ทำงานปัจจุบัน ลองมาฟังคำแนะนำจาก "เอเวอรี มอร์แกน" (Avery Morgan) ประธานฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ EduBirdie ที่มาแชร์ 5 วิธีลาออกอย่างชาญฉลาด โดยไม่ทำลายชื่อเสียงตัวเอง ดังนี้
1. ฝึกพูดจาแจ้งลาออกให้เหมาะสม เป็นมืออาชีพ
การแจ้งลาออกอาจเป็นช่วงเวลาที่อึดอัด ดังนั้น มอร์แกน แนะนำให้เตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้า ซ้อมพูดหน้ากระจก หรือให้เพื่อนช่วยรับบทเป็นหัวหน้าเพื่อจำลองสถานการณ์จริง
ตัวอย่างประโยคที่ควรใช้ก็อย่างเช่น “ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้ร่วมงานกับบริษัทนี้ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องมองหาความท้าทายใหม่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายอาชีพของฉัน”
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การอธิบายที่ยืดยาวมากเกินไป เพราะยิ่งพูดมาก ยิ่งเปิดช่องให้ถูกตั้งคำถามไม่จบ ผู้เชี่ยวชาญเสริมว่า “คุณไม่จำเป็นต้องแจกแจงเหตุผลทั้งหมด เพราะนี่คือการตัดสินใจส่วนตัว” หากหัวหน้าพยายามกดดันให้เล่าเพิ่ม ลองตอบแบบสุภาพแต่มั่นใจว่า “ฉันคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และเชื่อว่านี่คือก้าวต่อไปที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฉัน”
2. ตั้งขอบเขตชัดเจน ถ้าเจอข้อเสนอยื่นกลับ
บ่อยครั้งที่เมื่อพนักงานแจ้งลาออก บริษัทอาจเสนอเพิ่มเงินเดือน ตำแหน่ง หรือสวัสดิการอื่นๆ เพื่อให้เปลี่ยนใจ ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ควรตัดสินใจไว้ล่วงหน้าว่าคุณเปิดโอกาสให้เจรจาไหม หรือจะลาออกแน่นอนไม่ว่ามีข้อเสนออะไร
ถ้าคุณตัดสินใจแน่วแน่ ควรตอบแบบตรงไปตรงมา เช่น “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอมากค่ะ/ครับ แต่ฉันตัดสินใจแน่นอนแล้ว” โดยการตั้งขอบเขตชัดเจนแบบนี้จะช่วยให้คุณไม่ตัดสินใจด้วยความรู้สึกผิด หรือความกลัวว่าจะทำให้ใครลำบาก
3. รับมือกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
แม้คุณจะอยากลาออกมากแค่ไหน แต่การก้าวออกจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยก็ยังเป็นเรื่องสะเทือนใจ โดยเฉพาะถ้าคุณมีทีมที่ดีหรือผูกพันกับงาน แนะนำให้คุณให้เวลากับตัวเองในการปรับตัว เช่น นัดดื่มกาแฟกับเพื่อนร่วมงานคนสนิท หรือเขียนการ์ดขอบคุณให้หัวหน้า เพื่อเป็นการปิดฉากบทหนึ่งในชีวิตอย่างอ่อนโยน พร้อมทิ้งท้ายว่า “ทุกการเปลี่ยนงานคือโอกาสเรียนรู้ และพาคุณเข้าใกล้เป้าหมายอาชีพมากขึ้น”
4. อย่าปิดประตูความสัมพันธ์ในอนาคต
ถึงแม้งานเก่าจะไม่น่าจดจำเท่าไร แต่อย่าลืมว่า “โลกของงาน” แคบกว่าที่คิด ดังนั้น คุณควรพยายามจากลาอย่างมีน้ำใจ เช่น บอกหัวหน้าว่าคุณชื่นชมอะไรในบทบาทนี้ และขอจดหมายรับรองหากเหมาะสม
สำหรับเพื่อนร่วมงานที่คุณรู้สึกสนิทใจ อย่าลืมรักษาความสัมพันธ์ไว้ ส่งข้อความสั้นๆ นัดพบ หรือขอบคุณผ่านโซเชียลมีเดียเล็กๆ น้อยๆ เผื่อในอนาคตอาจได้ร่วมงานกันอีก
5. วางแผนส่งต่องานอย่างมืออาชีพ
สุดท้าย ก่อนจากลา ควรมีการเตรียมตัวให้ทีมสามารถเดินหน้าต่อได้ เช่น จัดทำเอกสารสรุปขั้นตอนงาน โปรเจกต์ที่ค้างอยู่ และเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณใช้ในงานประจำวัน และอย่าลืมส่งอีเมลขอบคุณทีมในวันสุดท้ายด้วยคำขอบคุณที่จริงใจ ซึ่งสิ่งนี้สามารถสร้างความรู้สึกดีและสร้างการจดจำได้ในระยะยาว
ย้ำอีกครั้ง! ถ้าอยากลาออกจากงานปัจจุบัน ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ และอย่าปล่อยให้อารมณ์นำเหตุผล คนจำนวนมากรู้สึก "ติดกับ" กับงานที่ไม่ตอบโจทย์ชีวิต และแน่นอนว่าใครๆ ก็เคยฝันว่าอยากเดินออกจากงานสักวันหนึ่ง แต่ถ้าคุณจะลาออกเพราะโกรธ หรืออยาก “เอาคืน” องค์กร ควรถามตัวเองก่อนว่านั่นจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าหรือเปล่า
ถ้าเป็นไปได้ ลองคุยกับหัวหน้าอย่างตรงไปตรงมาก่อน อธิบายความรู้สึกที่แท้จริง เพราะบางครั้งฝ่ายบริหารอาจไม่รู้เลยว่าคุณรู้สึกอย่างไร การพูดคุยแบบเปิดใจอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีขึ้น หรือถ้าคุณยังคงตัดสินใจลาออกจริงๆ ก็สามารถทำอย่างเป็นทางการ มีระยะเวลาแจ้งล่วงหน้า และรักษาเครือข่ายในสายงานเอาไว้ แล้วอนาคตของคุณจะไปได้ไกลกว่าที่คิด
อ้างอิง: Forbes, Sidehustles, Monsterworkwatch24, Softwarefinder