ทำงานดี ยิ่งได้งานเพิ่ม? เมื่อคนทำงานเก่งเผชิญภาระงานหนักอึ้ง

ทำงานดี ยิ่งได้งานเพิ่ม? เมื่อคนทำงานเก่งเผชิญภาระงานหนักอึ้ง

ทำงานดี ทำงานเก่ง ทำไมยิ่งได้งานเพิ่ม? เมื่อความเก่งกาจมาพร้อมภาระหนักอึ้ง ทำวัยทำงานเสี่ยงหมดไฟ เครียด และตัดสินใจลาออก หัวหน้างานต้องเร่งแก้ไข!

KEY

POINTS

  • คนทำงานเก่งมักได้รับมอบหมายงานที่มากขึ้น เนื่องจากหัวหน้าอาจมองว่าพวกเขาจัดการงานได้ดีที่สุด และสามารถรับผิดชอบงานที่ท้าทายได้ดีกว่าใคร ขณะที่พนักงานที่ทำงานไม่ดี อาจมีภาระงานที่เบากว่าและมีสมดุลชีวิตที่ดีกว่า
  • การแบกภาระงานมากขึ้นโดยไม่ได้รับการตอบแทน หรือไม่ได้รับการยอมรับที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ความรู้สึกท้อแท้และหมดไฟ พนักงานที่ทุ่มเทอาจรู้สึกว่าตนเองถูกเอาเปรียบ ในที่สุดอาจตัดสินใจลาออก
  • บริษัทที่ให้ความสำคัญกับพนักงานที่ทำงานหนักอย่างเหมาะสม มักจะประสบความสำเร็จมากกว่า การให้โอกาสในการเติบโต-แบ่งงานอย่างยุติธรรม เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคนเก่งเอาไว้ และสร้างวัฒนธรรมที่ดีในองค์กร

ทำไมยิ่งเก่ง ยิ่งโดนใช้งานหนัก? เมื่อความสามารถอันโดดเด่น กลับกลายเป็นกับดักที่ทำให้คนเก่งต้องแบกภาระงานมากกว่าที่ควร และเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับที่ทำงานแทบทุกแห่ง ไม่ว่าจะทำงานสายไหน มันมักจะมีคนๆ หนึ่งที่ถูกทุกคนในทีมฝากความหวังไว้ด้วยเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ด่วน งานยาก งานที่ไม่มีใครอยากทำ หรือแม้แต่งานที่เกินขอบเขตหน้าที่ เขาหรือเธอคนนั้นจะเป็นคนแรกที่หัวหน้าเรียกหา เป็นคนที่เพื่อนร่วมทีมผลักภาระให้ และเป็นคนที่หลายคนพูดถึงว่า “ก็เพราะเก่งไง เลยต้องทำได้สิ”

ฟังดูผิวเผินอาจดูเหมือนคำชม เหมือนเป็นการยอมรับในความสามารถในตัวพนักงานคนนั้น แต่เมื่อความเก่งกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครบางคนต้องรับผิดชอบงานทุกอย่างมากเกินไป มันจึงเริ่มกลายเป็น "คำสาป" ที่กัดกินความสุขในการทำงานอย่างเงียบๆ 

หลายคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกใช้งานเกินหน้าที่มากกว่าถูกให้โอกาส หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ทำไมฉันต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว?” และหลายคนก็ตัดสินใจลาออกจากที่ที่เคยทุ่มเทให้ทั้งหมดไปแบบเงียบๆ

เมื่อความไว้ใจจากหัวหน้า กลายเป็น "ความเคยชิน"

แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งที่คนเก่งมักถูกมอบหมายงานหนักอยู่เสมอ คือเพราะคนรอบข้าง “ไว้ใจ” ว่าจะทำได้ดี ไม่ต้องคอยตาม ไม่ต้องสอน ไม่ต้องอธิบายซ้ำ นี่คือคนที่ทำงานได้ลุล่วงเสมอ จึงกลายเป็นตัวเลือกแรกของทุกปัญหา

แต่ปัญหาที่แฝงมาด้วยก็คือ เมื่อความไว้ใจกลายเป็นความเคยชิน คนเก่งเหล่านี้จะถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีคำขอโทษ ไม่มีคำขอบคุณ และที่สำคัญ ไม่มีการแบ่งเบาภาระจากใครเลย เพราะคนอื่นเริ่มเห็นว่า “ก็ทำได้อยู่แล้วนี่” และไม่คิดว่าการรับงานเพิ่มจะเป็นภาระอะไรสำหรับคนที่เก่งอยู่แล้ว

ความสามารถของคนเก่งคนนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหรือเธอไม่ได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น

หัวหน้าบางคนอาจมองว่า การมอบหมายงานพิเศษให้คือ “โอกาสในการเติบโต” เพราะเชื่อว่าการให้คนเก่งรับผิดชอบงานใหญ่ๆ จะช่วยให้เขาได้โชว์ศักยภาพและเติบโตเร็วขึ้นในสายงาน แต่น่าเสียดายที่โอกาสแบบนี้ มักจะมาพร้อมภาระที่ไม่สมเหตุสมผล หลายครั้งงานที่มอบให้นั้นไม่ได้มาพร้อมทรัพยากรเพิ่ม ไม่ได้มีทีมสนับสนุน และไม่ได้มีคำชี้แจงที่ชัดเจนว่าภาระที่เพิ่มขึ้นนี้จะได้รับการตอบแทนในรูปแบบใด

สุดท้าย มันจึงกลายเป็นแค่งานเพิ่มที่ทำให้คนเก่งต้องเหนื่อยมากขึ้น โดยไม่มีความมั่นใจเลยว่าองค์กรจะเห็นความพยายามนั้นหรือไม่

แบกไว้คนเดียว เพราะพูดว่า "ไม่" ไม่เป็น

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนเก่งต้องแบกงานมากกว่าที่ควร คือพวกเขาไม่กล้าปฏิเสธ พวกเขาไม่อยากให้ทีมเดือดร้อน ไม่อยากให้โปรเจกต์พัง และบางครั้งก็รู้สึกว่า “ในเมื่อเราทำได้ ก็ช่วยๆ ไปเถอะ” ความรับผิดชอบและความใจดีของเขาหรือเธอคนนั้น จึงกลายเป็นบ่วงที่ผูกตัวเองเอาไว้กับงานมากมาย โดยลืมไปว่า ตัวเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน

พวกเขาทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมา ไม่ใช่ความเข้าใจหรือการชื่นชม แต่กลับเป็นงานชิ้นต่อไปที่ตามมาติดๆ

หลายคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เริ่มรู้สึกว่าความเก่งของตัวเองไม่ได้พาไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นอย่างที่เคยหวัง แม้งานจะเติบโตเร็ว ได้รับโอกาสสำคัญมากมาย แต่กลับไม่มีเวลาให้ตัวเอง ไม่ได้พักผ่อน ไม่มีเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และหลายครั้งต้องทำงานนอกเวลาจนเสียสมดุลในชีวิตไปหมด

ที่แย่กว่านั้นคือ เริ่มไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า ผู้บริหารมองเห็นสิ่งที่เราทำอยู่หรือไม่
เพราะแม้จะทำงานเกินหน้าที่ แต่กลับไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้ขึ้นเงินเดือน หรือไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร จึงไม่แปลกที่พนักงานบางคนเริ่มหมดแรงใจ บางคนเริ่มรู้สึกหมดคุณค่าในตนเองลงไปทุกวันๆ  

องค์กรควรแก้ปัญหานี้อย่างไร? ไม่ให้เสียคนเก่งไป

องค์กรที่อยากรักษาคนเก่งไว้ ควรเริ่มจากการตั้งคำถามว่า “เรากำลังใช้คนเก่ง หรือกำลังสนับสนุนเขาอย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง?” อย่ามองว่าแค่ให้โอกาสคือพอแล้ว เพราะโอกาสที่ไม่มีระบบสนับสนุน ไม่มีการกระจายงานที่เป็นธรรม และไม่มีรางวัลตอบแทนที่เหมาะสม มันก็คือการเพิ่มภาระในชื่อของคำว่า “โอกาส” เท่านั้น

สิ่งที่องค์กรควรทำ คือ สร้างระบบที่เห็นคุณค่าของคนทำงานจริงๆ ไม่ใช่แค่การพูดว่า “ขอบใจนะ” แล้วส่งงานชิ้นถัดไปมาให้โดยไม่มีแม้แต่เวลาพักหายใจ

แล้วคนเก่งล่ะ? ควรทำอย่างไรกับตัวเอง คำตอบของคำถามนี้ คงอยู่ที่ว่า.. ถ้าคุณคือหนึ่งในคนที่รู้สึกว่ากำลังแบกงานมากเกินไป ให้ลองหยุดและถามตัวเองว่า “เราทำเพราะอยากทำ หรือทำเพราะไม่มีใครช่วย?”

การกล้าปฏิเสธไม่ได้แปลว่าไม่รับผิดชอบ แต่คือการรู้ขอบเขตของตัวเอง และการพูดคุยกับหัวหน้าอย่างตรงไปตรงมา อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การวางลิมิตให้ตัวเอง คือการรักษาทั้งสุขภาพกายและใจให้เดินได้นานขึ้น
และการกล้าร้องขอในสิ่งที่สมควรได้รับ เช่น โบนัส เงินเดือน หรือโอกาสเลื่อนตำแหน่ง คือ สิ่งที่ควรทำโดยไม่รู้สึกผิด

ความเก่งไม่ควรเป็นภาระ แต่ควรเป็นคุณค่า เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของใครบางคนไม่ควรกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น

หากองค์กรไม่รู้จักดูแลคนเก่งให้ดี ปล่อยให้พวกเขาทำทุกอย่างโดยไม่มีการสนับสนุนที่เหมาะสม วันหนึ่งเขาอาจจะไม่อยู่ให้คุณเรียกใช้ได้อีกต่อไป และสิ่งที่บริษัทสูญเสีย อาจจะไม่ใช่แค่ “พนักงานที่เก่ง” แต่มันคือ “คนที่ทำให้องค์กรไปต่อได้ในวันที่คนอื่นยังลังเลจะลงมือทำ”

 

 

อ้างอิง: Forbes, Medium, Linkedin