นายจ้างยุคใหม่มองหาคนทักษะตรงกับงาน ไม่สนใบปริญญาอีกต่อไป

นายจ้างยุคใหม่มองหาคนทักษะตรงกับงาน ไม่สนใบปริญญาอีกต่อไป

เมื่อปริญญาไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาผนึกกำลัง ดันระบบจ้างงานแบบ "ทักษะมาก่อน" อ้าแขนรับคนทักษะสูง ปลดล็อกโอกาสงานใหม่กว่า 11 ล้านตำแหน่ง

KEY

POINTS

  • บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เน้นจ้างแรงงานที่มี “ทักษะ” เหมาะสม มากกว่า “วุฒิปริญญา” โดยร่วมมือกันเปิดเว็บไซต์ SkillsFirst.org เพื่อเสนอตำแหน่งงานกว่า 11 ล้านตำแหน่งว่าต้องการทักษะอะไรบ้าง ไม่จำเป็นต้องมีปริญญา
  • ทักษะ = เงินเดือน + โอกาสเลื่อนขั้น เว็บไซต์ดังกล่าวชี้ชัดว่า ทักษะบางอย่างเพิ่มค่าตัวได้จริง เช่น หากใช้เครื่องมือ Kubernetes เป็น (ระบบจัดการซอฟต์แวร์อัตโนมัติ) จะได้เงินเดือนเพิ่ม 8.3%, หากเขียน Python ได้ จะได้เงินเพิ่ม 3.9% 
  • โอกาสใหม่สำหรับคนเปลี่ยนสายงาน-ไม่จบปริญญา เมื่อโมเดล “Skills-First” เปิดทางให้คนที่เคยถูกมองข้าม ไม่ว่าจะเปลี่ยนอาชีพ หรือไม่มีวุฒิ ก็สามารถเข้าถึงงานที่ดีขึ้นและมีเส้นทางเติบโตที่ชัดเจนในองค์กรใหญ่

Walmart, Microsoft, Blackstone และบริษัทใหญ่ของสหรัฐฯ อีกหลายแห่ง หันมาให้ความสำคัญกับ "ทักษะ" ของผู้สมัครงาน มากกว่าจะดูใบปริญญาของพวกเขา ล่าสุด.. หลายองค์กรระดับโลกจับมือกันเปิดตัวเว็บไซต์หางานใหม่ ที่ระบุชัดเจนว่าผู้สมัครงานต้องมีทักษะอะไรถึงจะได้งาน ที่สำคัญคือ ระบุด้วยว่าแต่ละทักษะมีผลต่อเงินเดือนมากแค่ไหน สิ่งนี้กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมระบบการ "หางาน" และการจ้างงานทั่วสหรัฐฯ

ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูง หนี้กู้ยืมการศึกษากลายเป็นภาระหนักหน่วงของแรงงานคนรุ่นใหม่ และตลาดงานที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้หลายบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามว่า "ปริญญา" ยังจำเป็นอยู่ไหม? และคำตอบที่ได้เริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

ล่าสุด..องค์กรไม่แสวงหากำไร Burning Glass Institute จับมือกับบริษัทระดับโลก ทั้ง Walmart, Microsoft, Blackstone, Bank of America, PepsiCo และบริษัทใหญ่รวม 10 ราย เปิดตัวโครงการ "Skills-First Workforce Initiative"  พร้อมเปิดเว็บไซต์ SkillsFirst.org เว็บไซต์หางานที่ระบุทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานยอดนิยมกว่า 11 ล้านตำแหน่งในตลาดแรงงานอเมริกา ตั้งแต่สายบริการไปจนถึงสายงานเทคโนโลยีขั้นสูง

จุดเปลี่ยนเรซูเม่ยุคใหม่ เน้น “ทักษะจำเป็น” แทน “วุฒิปริญญา”

เว็บไซต์ดังกล่าวนำเสนอโมเดลใหม่ของคำอธิบายตำแหน่งงาน ที่ไม่เน้นวุฒิการศึกษา แต่แยกทักษะที่จำเป็นออกเป็น 4 หมวด ได้แก่

- ทักษะพื้นฐาน (Baseline Skills) เช่น การสื่อสารหรือการคิดเชิงวิเคราะห์
- ทักษะผู้นำ (Leadership Skills) เช่น การบริหารทีม
- ทักษะเฉพาะตำแหน่ง (Role-Specific Skills) เช่น การวิเคราะห์ตลาดหรือการเขียนโปรแกรม
- ทักษะเฉพาะทาง (Specializations) เช่น UX Design หรือ Cloud Platform

ตัวอย่างตำแหน่งงาน เช่น Product Manager จะต้องรู้หลัก 4Ps ของการตลาด มีทักษะการวิเคราะห์ lifecycle ของสินค้า และต้องมีประสบการณ์การเจรจาการขายที่ซับซ้อน โดยทุกทักษะจะถูกให้ “น้ำหนักความสำคัญ” และ “ระดับความเชี่ยวชาญ” ที่บริษัทมองหาอย่างชัดเจน

สิ่งที่น่าสนใจคือ เว็บไซต์นี้ยังระบุด้วยว่าแต่ละทักษะสามารถเพิ่มเงินเดือนได้มากแค่ไหน เช่น

- หากคุณเป็น Product Manager ที่มีประสบการณ์ UX: ค่าตัวเพิ่มขึ้น 5%
- หากเป็น Software Engineer ที่ใช้ Python ได้: บวกเงินเพิ่ม 3.9%
- มีทักษะ Kubernetes (ระบบโอเพนซอร์สด้านการจัดการซอฟต์แวร์ยอดนิยม): จะได้ค่าตัวเพิ่มขึ้นอีก 8.3%

จาก "พนักงานรายชั่วโมง" สู่ "ผู้จัดการรายได้ครึ่งล้าน"

สำหรับโครงการนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับ “แรงงานที่ไม่จบมหาวิทยาลัย” ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่มีทักษะที่ใช้ได้จริงในหลากหลายสายงาน อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้อวงการเปลี่ยนสายงาน คนที่เคยทำงานภาคสนามหรือภาครัฐ เช่น ทหารผ่านศึก หรือแม้แต่พนักงานในองค์กรที่ต้องการ “อัปสกิล” เพื่อเลื่อนตำแหน่ง

แมตต์ ซิเกลแมน (Matt Sigelman) ประธาน Burning Glass Institute ย้ำชัดว่า “การเข้าใจและกำหนดทักษะที่งานหนึ่งๆ ต้องการ อาจฟังดูง่าย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นงานใหญ่”

Walmart คือหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นผลชัดเจนจากการใช้โมเดล Skills-First โดยทางบริษัทเผยว่า 75% ของผู้จัดการร้านที่มีฐานรายได้อยู่ที่ 130,000 ดอลลาร์ต่อปี (ราวๆ 4,300,000 บาทต่อปี) และบางคนมีรายได้รวมเกิน 500,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 16,650,000 บาทต่อปี) ล้วนเริ่มต้นจากพนักงานรายชั่วโมงทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในร้านที่มีการอบรมทักษะตามแนวทางใหม่ พบว่า คะแนนความพึงพอใจของลูกค้าและความสะอาดของร้าน สูงกว่าร้านอื่นๆ อย่างชัดเจน และพนักงานด่านหน้าได้รับการโปรโมตให้เลื่อนตำแหน่งงาน เฉลี่ยแล้วได้เลื่อนตำแหน่งภายในเวลาเพียง 7 เดือน

Verizon เองก็มีผลลัพธ์คล้ายกัน บริษัทเผยว่า 99% ของตำแหน่งงานในองค์กรไม่ต้องการวุฒิปริญญา และเมื่อเริ่มใช้ระบบนี้ในปี 2021 พวกเขาสามารถลดจำนวนชื่อตำแหน่งจาก 70,000 เหลือเพียง 2,100 ตำแหน่ง เพื่อทำให้เส้นทางการเติบโตของพนักงานชัดเจนขึ้น จนทำให้พนักงานอยู่กับบริษัทเฉลี่ยนานถึง 13.1 ปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 70%

“ทักษะเฉพาะทาง” กำลังกลายเป็นคุณค่าใหม่ตลาดแรงงาน

ดอนนา มอร์ริส (Donna Morris) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคลของ Walmart เปิดเผยว่า โมเดลนี้ช่วยให้ทั้งบริษัทและพนักงาน “พูดภาษาเดียวกัน” มากขึ้น ในการอธิบายว่าอะไรคือคุณสมบัติที่แท้จริงของตำแหน่งงานนั้นๆ เธอย้ำว่า “ทักษะที่คุณมี ควรจะกลายเป็นสกุลเงินที่ใช้ต่อรองและเติบโตในเส้นทางอาชีพได้”

ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิดนี้ยังส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดแรงงาน เช่น ในช่วงที่บางตำแหน่งต้องการทักษะใหม่ๆ อย่าง “AI Prompt Engineering” ทักษะที่สำคัญสำหรับวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2024 แต่เมื่อ AI อย่าง ChatGPT พัฒนาขึ้นและสามารถเข้าใจคำสั่งได้ดีขึ้น ทักษะนี้ก็เริ่มลดความสำคัญลง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตลาดทักษะเปลี่ยนแปลงเร็วและต้องอัปเดตตลอดเวลา

Burning Glass จึงเตรียมขยายชุดทักษะใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับอีก 30 ตำแหน่งงานในเฟสถัดไป เช่น พนักงานขายส่ง, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล, พนักงานคลังสินค้าและจัดส่ง

นอกจากนี้ ยังจะใช้ AI วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงจากฐานข้อมูล “คำอธิบายงาน” นับสิบล้านรายการ เพื่ออัปเดตทักษะที่จำเป็นให้ทันสมัยอยู่เสมอ

ในท้ายที่สุด หากวัยทำงานกำลังรู้สึกว่าตนเองติดแหง็กอยู่กับตำแหน่งเดิมๆ หรือรู้สึกเบื่อกับระบบเลื่อนขั้นที่ไม่โปร่งใส หรือไม่จบปริญญาแต่มีทักษะในมือ เชื่อว่าโครงการนี้อาจเป็นประตูสู่อาชีพใหม่ของคนงานหลายๆ คนได้ เพราะในยุคนี้ "ทักษะ" เท่ากับ "อนาคตการเติบโตในอาชีพการงาน"

 

 

อ้างอิง: Forbes, Skills-first, BUREAU OF LABOR STATISTICS