เหนื่อยตลอดเวลาขณะทำงาน แม้นอนพอ? รู้ 5 สาเหตุที่อาจคาดไม่ถึง

เหนื่อยตลอดเวลาขณะทำงาน แม้นอนพอ? รู้ 5 สาเหตุที่อาจคาดไม่ถึง

นักจิตวิทยาชี้ อาการ “เหนื่อย” กับ “ง่วง” ไม่เหมือนกัน แม้จะนอนเพียงพอแต่หากเหนื่อยตลอดเวลาขณะทำงาน อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพ เช็กลิสต์ 5 สาเหตุที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

KEY

POINTS

  • การนอนไม่พอบางครั้งก็ทำให้เหนื่อยและง่วง แต่จริงๆ แล้ว อาการ “เหนื่อย” กับ “ง่วง” แตกต่างกัน แม้จะนอนเพียงพอแล้ว แต่บางคนก็อาจยังรู้สึกเหนื่อยล้า ซึ่งอาจมาจากสาเหตุอื่น 
  • 5 ปัจจัยที่ทำให้เหนื่อยล้า แม้จะนอนครบ 7-8 ชั่วโมง ได้แก่ ปัญหาทางจิตใจ (ซึมเศร้า), ตารางการเข้านอน-ตื่นนอนไม่สม่ำเสมอ, ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ยาบางชนิด และคุณภาพการนอนที่ไม่ดี
  • วิธีแก้ไข อาจเริ่มจากการดูแลสุขอนามัยการนอน ด้วยการปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น เข้านอนให้เป็นเวลา ปรับลดแสงในห้อง และอ่านหนังสือก่อนนอน อาจช่วยให้คุณนอนหลับได้มีคุณภาพมากขึ้น

 

 

 

หลายคนเข้าใจว่าอาการเหนื่อยล้าเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอ และพยายามแก้ด้วยการนอนให้นานขึ้น แต่ในความเป็นจริง ความรู้สึก "เหนื่อย" กับ "ง่วง" อาจมีสาเหตุที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เชลบี แฮร์ริส (Shelby Harris) นักจิตวิทยาคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการนอนหลับ อธิบายว่า

เหนื่อย คือ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง หมดแรง ทั้งทางร่ายกายและจิตใจ

ง่วง คือ ความรู้สึกที่อยากนอนหลับอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งแม้การนอนไม่พอจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย

แต่ก็อาจไม่ใช่ต้นเหตุทั้งหมดของอาการเหนื่อยล้าที่คุณเผชิญอยู่ก็ได้

แฮร์ริสแนะนำว่า หากคุณนอนหลับครบชั่วโมงที่แนะนำ (ประมาณ 7-8 ชั่วโมง) แต่ยังรู้สึกไม่สดชื่น ควรมองหาสาเหตุอื่นร่วมด้วย โดยมี 5 ปัจจัยหลักที่อาจเป็นต้นตอของอาการเหนื่อยล้าแบบเรื้อรัง

5 สาเหตุทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า แม้จะนอนเพียงพอแล้วก็ตาม

1. ปัญหาด้านอารมณ์

อารมณ์ที่แปรปรวน เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล สามารถส่งผลให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียได้ โดยเฉพาะอาการของโรคซึมเศร้าที่อาจทำให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท และรู้สึกไม่มีพลังตลอดวัน ตามข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC)

2. การนอนที่ไม่มีคุณภาพ

แม้จะนอนครบชั่วโมงที่แนะนำ แต่หากคุณภาพการนอนไม่ดี ก็อาจทำให้รู้สึกไม่สดชื่น สาเหตุที่กระทบคุณภาพการนอน เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การเดินละเมอ หรือแม้แต่การนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ก็ล้วยกระทบต่อคุณภาพการนอน เมื่อคุณภาพการนอนไม่ดีก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมา เช่น ภาวะเหนื่อยล้ามากผิดปกติ

3. เข้านอน-ตื่นนอน ไม่เป็นเวลา ไม่สม่ำเสมอ

การเปลี่ยนแปลงเวลาเข้านอนหรือเวลาตื่นนอนเกิน 1 ชั่วโมง อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ผู้เชี่ยวชาญเรียกสิ่งนี้ว่า “เจ็ตแล็กทางสังคม (social jet lag)” และอาการนี้จะชัดเจนเป็นพิเศษในคนที่ทำงานเป็นกะกลางคืน

4. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

สำหรับผู้หญิง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละช่วงของเดือน อาจทำให้รู้สึกหมดแรง ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงก่อนหมดประจำเดือน (perimenopause) หรือวัยหมดประจำเดือน (menopause) ก็อาจเจออาการเหนื่อยล้าได้เช่นกัน

5. ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

ตามข้อมูลจาก Harvard Health Publishing ระบุว่า การใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ ยาต้านเศร้า ยาแก้แพ้ หรือยารักษาโรคภูมิแพ้ อาจทำให้คุณรู้สึกง่วงหรือเหนื่อยมากขึ้นได้
 

แก้อาการเหนื่อยล้า เริ่มต้นที่การสร้างสุขอนามัยการนอน (Sleep Hygiene)

หากคุณรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ ลองเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการนอนเป็นสิ่งแรกในชีวิตก่อนเลย โดยนักจิตวิทยาแฮร์ริส แนะนำว่า “สิ่งแรกที่วัยทำงานควรทำเพื่อให้มีพลังงานมากขึ้นในแต่ละวัน คือ ดูว่าคุณได้นอนพอหรือยัง และคุณภาพการนอนดีไหม”

โดยในบทสัมภาษณ์ที่เธอได้พูดคุยกับ CNBC Make It เมื่อปี 2022 ชี้ว่า
คนเราไม่ควรเปลี่ยนเวลาเข้านอนเร็วหรือช้ากว่าปกติเกิน 90 นาที และควรพยายามเข้านอนในเวลาเดิมให้ได้ทุกวัน

นอกจากนี้ ควรสังเกตด้วยว่าร่างกายของเราจริงๆ แล้วต้องการการนอนกี่ชั่วโมง บางคนการได้นอนหลับที่ 7 ชั่วโมงก็รู้สึกสดชื่นเพียงพอแล้ว หากพยายามบังคับให้นอนต่อถึง 8 ชั่วโมง อาจยิ่งทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง

อย่างไรก็ตาม แฮร์ริส มีเคล็ดลับมาแนะนำเพื่อให้วัยทำงานปรับปรุงการนอนหลับให้ดีขึ้นได้ ดังนี้ 

- ลดแสงในห้องก่อนนอน
- อ่านหนังสือที่ช่วยผ่อนคลาย
- ปิดหน้าจอทุกชนิดอย่างน้อย 30 นาทีก่อนเข้านอน
- หลีกเลี่ยงการพึ่งแอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้นอน และงดคาเฟอีนมากเกินไปในช่วงกลางวัน
- พยายามรับแสงแดดโดยตรงอย่างน้อยวันละ 20 นาที
- หากคุณทำงานที่บ้าน ลองย้ายโต๊ะทำงานไปใกล้หน้าต่างเพื่อให้ได้รับแสงธรรมชาติมากขึ้น

หากคุณได้ลองปรับพฤติกรรมการนอนแล้วติดต่อกันหลายสัปดาห์แต่ยังไม่ดีขึ้น แฮร์ริสแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

 

 

อ้างอิง: CNBC, Dr.Shelby Harris, CDC, Health Harvard