พ่อแม่กับลูกยุค Generative AI

ในขณะที่มีการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอน Generative AI กันอย่างกว้างขวาง แต่เพิ่งพบจากการวิจัยร่วมกันระหว่าง OpenAI กับ Media Lab ของ MIT
ว่า รูปแบบการใช้งานและพฤติกรรมของผู้ใช้ มีผลทางจิตวิทยากับตัวผู้ใช้เอง โดยเฉพาะผู้ใช้ในวัยเยาวชน
งานวิจัยนี้ศึกษาว่า การใช้งาน Generative AI ส่งผลอย่างไรกับความผูกพันที่มีต่อคนรอบตัว ใช้มาก ๆ แล้วการมีส่วนร่วมทางสังคมกับครอบครัว และเพื่อนฝูงแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่
ถ้าต้องห่างเหินไปจาก AI จะมีอารมณ์ที่ผิดปกติไปบ้างหรือไม่ ออกอาการเหมือนที่คนติดเกม แล้วหงุดหงิดเมื่อไม่ได้เล่นมากน้อยแค่ไหน เมื่อใช้แล้วจะยิ่งเพิ่มความรู้สึกเหงา หรือ รู้สึกแยกตัวออกจากสังคมมากน้อยแค่ไหน ใช้มากจนคิดไปเองว่าโลกรอบตัวของฉันคือ AI บ้างหรือไม่
มีการทดลองแชทกับ ChatGPT ในสามรูปแบบ ได้แก่ การพิมพ์ข้อความ การโต้ตอบด้วยเสียงปกติ และการโต้ตอบด้วยเสียงที่แสดงอารมณ์ ในรูปแบบการสนทนาเรื่องทั่วไป อยากรู้อะไรก็ถามมาตอบไป กับเรื่องส่วนตัวของผู้ใช้
งานวิจัยพบว่า เยาวชนกลุ่มหนึ่งจะมีความผูกพันทางอารมณ์กับ ChatGPT เสมือนว่าเป็นเพื่อนสนิท ยิ่งแชทด้วยข้อความที่แสดงอารมณ์มากเท่าใด โอกาสที่จะผูกพันทางอารมณ์กับ ChatGPT ก็มากขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่า ChatGPT จะสนทนาด้วยเสียงปกติ หรือเสียงที่แสดงอารมณ์ร่วม ความผูกพันกับ ChatGPT จะเกิดเร็วขึ้นไม่แตกต่างกัน จึงเป็นไปได้ที่เยาวชนบางกลุ่มจะมี พฤติกรรมการคบค้าสมาคมกับผู้คนรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป
AI ไม่ขัดใจ ไม่โต้แย้ง ถามอะไรมา คุยอะไรมา AIก็ตอบไปตามที่เรียบเรียงมาจากข้อมูลเอกสารจำนวนมหาศาลที่ AI ได้รับรู้มาล่วงหน้า คุยกับ AI เลยน่าพอใจกว่าคุยกับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง
ซึ่งแม้ว่าจะไม่พบว่าอาการนี้เกิดขึ้นกับผู้ใช้ทุกคน แต่พ่อแม่ที่เชียร์ให้ลูกใช้ AI เยอะๆ ควรสังเกตไว้ด้วยว่า ลูกของตนเองมีแนวโน้มจะเห็น AI เป็นเพื่อนสนิท มากกว่าผู้คนที่อยู่รอบตัวหรือไม่ คงน่ากังวล มากกว่าจะดีใจที่พบว่าลูกปรึกษาเรื่องสำคัญของชีวิตกับ AI แทนที่จะหันหน้ามาหารือกับพ่อแม่
เยาวชนในกลุ่มที่รู้สึกว่า AI กลายเป็นเพื่อนสนิท จะรู้สึกว่าเหงามากขึ้นในระหว่างที่มีกิจกรรมอื่น ๆกับคนรอบตัว ไม่สนุกเวลาที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมอื่น ๆ
แต่ที่น่าสบายใจขึ้นมาได้บ้าง คือ ตราบเท่าที่เวลาในการอยู่กับ AI ไม่มากเกินไป ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาแชทกันแทบตลอดเวลาที่ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น
เยาวชนกลุ่มที่รู้สึกว่า AI เป็นเพื่อนสนิท สามารถห่างเหินจาก AI ได้ โดยไม่หงุดหงิดแต่อย่างใด รู้สึกเหมือนกับที่คนเราห่างจากเพื่อนสนิทเท่านั้น
ที่จะหงุดหงิดมาก ๆ กลับกลายเป็นเยาวชนกลุ่มที่ใช้ AI เป็นเสมือนผู้ช่วย เป็นเหมือนโดราเอม่อนของโนบิตะ คือมีอะไรต้องทำก็ถามAI เสียก่อน กลุ่มนี้ต่างหากที่มีอาการเสพติด AI คืออยากใช้แล้วไม่ได้ใช้จะหงุดหงิดมากกว่าปกติ
ในระหว่างเยาวชนที่มีกับไม่มีปัญหาเรื่องกิจกรรมทางสังคมมาก่อนการใช้งาน AI เยาวชนที่มีปัญหามาก่อน มีแนวโน้มที่จะใช้ AI ไปในทางลบมากกว่าเยาวชนที่ไม่มีปัญหา เคยเป็นคนที่เก็บตัวห่างเหินกิจกรรมทางสังคม จะยิ่งห่างเหินมากขึ้นเมื่อผูกพันกับ AI
จากผลการวิจัยนี้ คงเพิ่มภาระให้กับคนที่เป็นพ่อแม่ขึ้นมาอีกเรื่อง คือดูแลไม่ให้ลูกได้รับผลเสียจากการใช้งาน Generative AI อย่างจริงจัง ลูกไปเล่าเรียน มีหวังได้เจอการส่งเสริมให้ใช้ AI แน่ ๆ
คุณครูคงรู้สึกว่าล้าสมัยถ้าไม่ชักชวนให้เด็กใช้ AI กันในสารพัดเรื่อง เด็กใช้ในการเล่าเรียนแล้วก็ยังเอาไปใช้ต่อในเรื่องอื่น ๆ อีกสารพัด ผลการเรียนปรากฏที่โรงเรียน แต่ผลอื่น ๆ มาปรากฏนอกโรงเรียน
จากผลการวิจัย คงแนะนำได้ว่า ถ้าลูกยังมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม อย่าเพิ่งรีบร้อนชวนให้ใช้ Generative AI แก้ปัญหาไปก่อนแล้วค่อยใช้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็อย่าให้ชวนให้ใช้มากเรื่องเกินไปจน
Generative AI กลายเป็นเพื่อนสนิท สังเกตได้จากการแสดงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป มีอะไรที่เคยปรึกษาพ่อแม่ เปลี่ยนเป็นปรึกษา Generative AI แทน
ถ้าจะส่งเสริมให้ถูกทางต้องช่วยให้ลูกใช้แค่เป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นสรณะที่พึ่งพาในสารพัดเรื่อง จนห่างเหินการมีกิจกรรมร่วมกับผู้คน กินข้าวอยู่ด้วยกันยังแชทกับ AI แทนที่จะคุยกันเอง.