ผู้นำ Gen Y Z ชี้ ทำงานวันหยุดได้ไม่แปลก งานด่วนสำคัญกว่าการพัก

ผู้นำ Gen Y Z ชี้ ทำงานวันหยุดได้ไม่แปลก งานด่วนสำคัญกว่าการพัก

คนรุ่นใหม่ไม่ได้ขี้เกียจ พวกเขาให้ความสำคัญกับงานและพร้อมทำงานแม้ในวันลาพักร้อน หากเป็นงานด่วนก็ต้องจัดการให้เสร็จ ล้างอคติเดิมที่บอกว่าพวกเขาไม่ใส่ใจงาน

KEY

POINTS

  • ผู้นำองค์กรรุ่น Gen Y Gen Z ที่มีอายุ 25-34 ปี มีแนวโน้มที่จะลบเส้นแบ่งระหว่างเวลางานกับเวลาส่วนตัว มากกว่าผู้นำรุ่นก่อนๆ ผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบ "พร้อมตลอดเวลา" (Always On Work)
  • 93% ของผู้นำรุ่นใหม่มองว่า การติดต่อเพื่อนร่วมงานที่กำลังพักร้อนเมื่อมีเรื่องงานเร่งด่วนเป็นเรื่อง "เหมาะสม" และ 89% ของพวกเขายอมรับว่ารู้สึกเป็นหน้าที่ที่ต้องคุยเรื่องงานแม้จะอยู่ในช่วงลาพักร้อน
  • การตัดขาดจากงานจริงๆ ระหว่างวันหยุดนั้น กลับกลายเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผู้นำมืออาชีพรุ่นใหม่ เพราะโลกการทำงานยุคดิจิทัล ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานจากบ้านหรือจากที่ไหนก็ได้

 

คนรุ่นใหม่ไม่ได้ขี้เกียจและไม่ได้เรียกร้องสมดุลชีวิต (Work Life Balance) จนละเลยเรื่องงาน หากเป็นงานเร่งงานด่วนพวกเขาก็พร้อมเข้าชาร์ตและลุยงานเสมอ แม้จะเป็นวันลาพักร้อนก็ตาม ยืนยันจากรายงานฉบับใหม่เรื่อง "ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสถานที่ทำงาน ปี 2025" โดย Tech.co ที่เปิดเผยว่า ผู้บริหาร-พนักงาน ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มตอบข้อความหรืออีเมลเกี่ยวกับงานนอกเวลางานมากที่สุด พวกเขากลายเป็นสารตั้งต้นของวัฒนธรรมการทำงานแบบ "พร้อมตลอดเวลา" (Always On Work)

ตามรายงานดังกล่าวบอกอีกว่า ผู้นำองค์กรรุ่น Gen Y Gen Z ที่มีอายุน้อย (25-34 ปี) มีแนวโน้มที่จะลบเส้นแบ่งระหว่างเวลางานกับเวลาส่วนตัว มากกว่าผู้นำรุ่นก่อนๆ ที่มีอายุอาวุโสกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้ให้สัมภาษณ์กับ Newsweek ถึงสาเหตุของแนวโน้มนี้ และเตือนถึงข้อเสียของการไม่ตัดขาดจากงานออกจากเวลาส่วนตัว

แม้ตัวเลขไม่แตกต่างมากนัก แต่ผู้นำรุ่นใหม่พร้อมทำงานวันหยุดมากที่สุด

ที่น่าแปลกใจคือ ในรายงานระบุด้วยว่า 93% ของคนรุ่น Gen Z และ Gen Y ตอนต้น มองว่า การติดต่อเพื่อนร่วมงานที่กำลังพักร้อนเมื่อมีเรื่องงานเร่งด่วนเป็นเรื่อง "เหมาะสม" และทำได้

แนวโน้มนี้ยังขยายไปถึงพฤติกรรมของพวกเขาเองด้วย โดย 89% ของผู้นำองค์กรที่เป็น Gen Z และมิลเลนเนียลตอนต้น ยอมรับว่าพวกเขารู้สึกมีหน้าที่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องงานแม้จะอยู่ในช่วงวันหยุดหรือวันลาพักร้อน 

ทั้งนี้การสำรวจดังกล่าว ได้รวบรวมคำตอบจากผู้บริหารระดับสูง และผู้จัดการชาวอเมริกัน 1,036 คน พบว่าผู้นำที่อายุน้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะติดต่อเพื่อนร่วมงานที่กำลังลาพักร้อนมากที่สุด 

เมื่อเปรียบเทียบกัน 87% ของผู้นำที่เป็นมิลเลนเนียลตอนปลาย ซึ่งมีอายุในช่วง 35-44 ปี บอกว่าพวกเขาจะติดต่องานเฉพาะในกรณีเร่งด่วน ในขณะที่ 86% ของผู้นำ Gen X อายุ 45-54 ปีเห็นด้วย และ 83% ของผู้นำรุ่น Baby Boomer อายุราวๆ 55-64 ปี ก็บอกว่าพวกเขาจะทำเช่นเดียวกัน ซึ่งตัวเลขทั้งหมดของคนทุกรุ่นก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

ผู้นำรุ่นใหม่ ดันวัฒนธรรมทำงานแบบ "Always On Work" ลบเส้นแบ่งเวลางาน-เวลาส่วนตัว

ผลการสำรวจนี้ได้หักล้างภาพจำเดิมๆ ที่เหมารวมว่าคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตมากกว่าที่จะรับผิดชอบในงาน เพราะตามรายงานชี้ชัดว่า ไม่จริง! หากย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าผู้จัดการฝ่ายรับสมัครงานหลายคนออกมาพูดว่าปฏิเสธที่จะจ้างคนทำงานรุ่นใหม่ โดยอ้างว่าขาดจรรยาบรรณในการทำงาน ขาดแรงจูงใจ และมีทักษะการสื่อสารที่ไม่ดีเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่จ้าง Gen Z

แต่การสำรวจใหม่นี้บ่งชี้ว่า Gen Z และมิลเลนเนียลตอนต้นในบทบาทผู้นำ อาจกำลังเสริมสร้างวัฒนธรรมที่คาดหวังให้พนักงานพร้อมติดต่อได้ตลอดเวลา เนื่องจากตัวพวกเขาเองในฐานะผู้นำ ก็รู้สึกว่าตัวเองก็ต้อง "พร้อมทำงานตลอดเวลา" เช่นกัน 

สเตฟานี ไรท์ซ (Stephanie Reitz) ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัท myHR Partner ให้ข้อมูลว่า "การตัดขาดจากงานจริงๆ ระหว่างวันหยุดนั้น กลับกลายเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผู้นำมืออาชีพรุ่นใหม่หลายคน เพราะโลกการทำงานยุคดิจิทัล ที่มีเครื่องมือด้าน AI เพียบพร้อม ล้วนส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานจากบ้านหรือจากที่ไหนก็ได้ จึงลบเส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ทำให้ทุกคนเชื่อมต่อกันได้ง่าย ตลอด 24 ชั่วโมงในทุกๆ วัน 

ไรทซ์อธิบายเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้นำรุ่นใหม่ (และแทบจะทุกรุ่น) ต้องการเชื่อมต่อกับงาน คุยเรื่องงาน ทำงานในวันหยุด ก็เพราะว่าพวกเขากลัวว่าจะตามงานไม่ทัน ไม่รู้ความเคลื่อนไหวหรือการอัปเดตต่างๆ งานหลุด งานไม่เสร็จ ฯลฯ ซึ่งหากปล่อยให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ก็อาจกระทบกับความไม่มั่นคงทางอาชีพ เพราะสองสามปีมานี้หลายๆ บริษัทเลิกจ้างพนักงาน (Lay Off) เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หากไม่ตอบเรื่องงานทันที พวกเขาก็จะเกิดความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นต้องรับภาระงานแทน

ผู้เชี่ยวชาญเตือน การไม่ตัดขาดงานออกจากเวลาส่วนตัวส่งผลเสียมหาศาล

อย่างไรก็ตาม ไรทซ์ สะท้อนมุมมองในประเด็นนี้อีกว่า การหยุดพักผ่อนจริงๆ อย่างมีความหมาย (โดยไม่คุยเรื่องงาน) เป็นสิ่งจำเป็นทั้งต่อสุขภาพส่วนตัวและวิชาชีพ 

"การพร้อมทำงานตลอดเวลาและคอยเช็คงานในวันหยุดเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ วันหยุดมีไว้เพื่อพักผ่อน ชาร์จพลังใหม่ และก้าวออกจากความเครียดในที่ทำงาน ไม่ใช่ไปเพิ่มความเครียดในวันหยุด" ไรทซ์กล่าว

เธอบอกอีกว่า วัยทำงานอาจเกิดภาวะขาดการฟื้นฟูทางความคิดได้ หากไม่มีการพักผ่อนแบบจริงๆ จังๆ หรือมัวแต่ใช้ความคิดเกี่ยวกับงานตลอดเวลา อีกทั้งยังจะไปเพิ่มความเหนื่อยล้าทางจิตใจให้สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพอาจแย่ลง ผลิตภาพลดลง และความพึงพอใจในงานลดลง รวมถึงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวให้แย่ลงด้วย

การศึกษาหลายชิ้นระบุตรงกันว่า วัยทำงานที่ไม่ใช้วันหยุดพักผ่อนมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยพบว่าผู้ชายที่ไม่ได้พักร้อนประจำปีมีความเสี่ยงสูงขึ้น 30% ที่จะเกิดโรคหัวใจ นี่ยังไม่นับความเสี่ยงการโรคทางสุขภาพจิตอีกมากมาย เช่น ภาวะหมดไฟ ซึมเศร้า วิตกกังวล ฯลฯ

ดังนั้น ผู้นำองค์กรไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตาม ควรมีกลยุทธ์การพักผ่อนอย่างมีความหมาย อาจเริ่มจากการตัดการเชื่อมต่อจริงๆ ตั้งระบบตอบกลับอัตโนมัติ มอบหมายงานให้เพื่อนร่วมงาน และจำกัดการเช็คอีเมลหรือข้อความ หรือใช้วิธีการวางแผนล่วงหน้า จัดตารางงานให้เรียบร้อยก่อนลาพักร้อน เพื่อลดความกังวลระหว่างหยุด และที่สำคัญคือ..หลีกเลี่ยงการนำงานไปทำระหว่างพักร้อน แม้จะเป็นงานเล็กน้อยก็ตาม 

 

อ้างอิง: NewsweekTech.co