เปลี่ยนงานบ่อย ดีจริงไหม? 58% วัยทำงาน Gen Z เปลี่ยนงานใหม่ในห้าปี

เปลี่ยนงานบ่อย ดีจริงไหม? 58% วัยทำงาน Gen Z เปลี่ยนงานใหม่ในห้าปี

คนรุ่นใหม่อยากรวยเร็ว อยากก้าวหน้าเร็ว ผลสำรวจพบว่า 58% ของวัยทำงาน Gen Z ในสหรัฐ เปลี่ยนงานใหม่ภายในห้าปี บางคนตั้งเป้าอยากมีเงินเดือนหลักแสนภายในอายุ 30 ปี

KEY

POINTS

  • เทรนด์เปลี่ยนงานบ่อยมาแรงในกลุ่มวัยทำงาน Gen Z พวกเขามองว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่ดีขึ้นและเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น ในระยะเวลาสั้นกว่าการทำงานที่เดิมนานๆ 
  • มีงานวิจัยชี้ว่า การเปลี่ยนงานบ่อยสามารถนำไปสู่เงินเดือนที่สูงขึ้นได้จริง แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่า หากเปลี่ยนงานเร็วเกินไปหรือถี่เกินไป อาจส่งผลเสียต่อเส้นทางอาชีพในระยะยาว
  • ผู้เชี่ยวชาญ แนะ การประสบความสำเร็จอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดีกว่าการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะจะช่วยให้มีเวลาพัฒนาทักษะ และสร้างความมั่นคงทางอาชีพได้มากขึ้น และลดการเกิดภาวะหมดไฟ

 

วัยทำงานรุ่นก่อนมักมีค่านิยมการทำงานอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหลายปี แม้จะรู้สึกไม่มีความสุขหรือไม่เห็นโอกาสเติบโต เพราะความมั่นคงทางอาชีพเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ อีกทั้งการเปลี่ยนงานบ่อยถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่มั่นคงและไม่มีความรับผิดชอบ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแนวคิดนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ที่เห็นว่าการเปลี่ยนงานบ่อย หรือที่เรียกว่า "Job Hopping" เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่ดีขึ้นและเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น ในระยะเวลาสั้นกว่าการทำงานกับบริษัทเดียวเป็นเวลานาน

แม้ว่าจะมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนงานสามารถนำไปสู่เงินเดือนที่สูงขึ้นและโอกาสเติบโตที่รวดเร็วขึ้นจริง แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่า หากเปลี่ยนงานเร็วเกินไปหรือถี่เกินไป อาจส่งผลเสียต่อเส้นทางอาชีพในระยะยาว ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนงานภายในสองสามปี ลองมาสำรวจกันก่อนว่าเทรนด์ทำงานนี้มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร 

Job Hopping เป็นสัญญาณอันตรายต่อความก้าวหน้าทางอาชีพ?!

แนวโน้มการเปลี่ยนงานบ่อยได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่วัยทำงานคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มศักยภาพรายได้ของตนเอง จากผลการศึกษาของ EduBirdie พบว่า 38% ของ Gen Z ในสหรัฐ ตั้งเป้าหมายที่จะมีเงินเดือนหกหลัก (100,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือราวๆ 3,300,000 บาทต่อปี) ภายในอายุ 30 ปี

อีกทั้ง  1 ใน 6 ของกลุ่มตัวอย่าง เชื่อว่าจำเป็นต้องมีรายได้มากกว่า 200,000 ดอลลาร์ต่อปี (6,700,000 บาทต่อปี) เพื่อใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ทั้งที่ในความเป็นจริง ค่าเฉลี่ยเงินเดือนของชาวอเมริกันในช่วงอายุ 25-34 ปี อยู่ที่เพียง 57,356 ดอลลาร์ต่อปี (1,900,000 บาทต่อปี) เท่านั้น

แม้ว่า Job Hopping จะเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีหลายฝ่ายที่มองว่าเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง จากการสำรวจพบว่า 37% ของฝ่ายสรรหาพนักงานมองว่าการเปลี่ยนงานบ่อยเป็นข้อเสีย มาร์ตา รีโฮวา (Marta Říhová) ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลจาก Kickresume อธิบายว่า เทรนด์ทำงานในรูปแบบ "เปลี่ยนงานบ่อย" เป็นวิธีที่พนักงานรุ่นใหม่ใช้เพื่อไต่เต้าในอาชีพได้เร็วขึ้น ซึ่งพบมากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เนื่องจากการเติบโตของสายงานนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง

สำหรับวัยทำงานหลายๆ คน นี่เป็นวิธีที่จะเร่งความก้าวหน้าในอาชีพการงานของพวกเขาได้ โดยการศึกษาหนึ่งของ LinkedIn ที่ทำกับชาวอเมริกัน 1,250 คนเมื่อไม่นานนี้ เผยให้เห็นว่า 58% ของผู้คนเปลี่ยนนายจ้างในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ในขณะที่เพียง 17% เท่านั้นที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในงานปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม รีโฮวาก็เตือนว่า หากเปลี่ยนงานเร็วเกินไป อาจถูกมองว่าไม่มีความมั่นคง และไม่มีประสบการณ์ในงานใดงานหนึ่งมากพอ นายจ้างบางบริษัทอาจกังวลว่าพนักงานที่เปลี่ยนงานบ่อยอาจไม่สามารถสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนให้กับองค์กร หรืออาจขาดความรับผิดชอบในระยะยาว แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบริษัทเช่นกัน บางองค์กรมองว่า พนักงานที่เปลี่ยนงานบ่อยเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่หลากหลาย

รีโฮวาแนะนำว่า หากคุณเป็นคนที่เปลี่ยนงานบ่อย ควรเตรียมคำตอบสำหรับการสัมภาษณ์งานให้ดี โดยเฉพาะเมื่อถูกถามว่าเหตุใดคุณถึงเปลี่ยนงานบ่อย และแต่ละการเปลี่ยนแปลงนั้นช่วยให้คุณเติบโตอย่างไร

4 ข้อควรระวัง ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงานภายในไม่กี่ปี

เอเวอรี่ มอร์แกน (Avery Morgan) หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ EduBirdie เตือนว่า การรีบไล่ล่าเงินเดือนหกหลักเร็วเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิต เธออธิบายว่ามีข้อเสียที่ซ่อนอยู่ 4 ประการเมื่อคนรุ่นใหม่มุ่งเป้าหมายไปที่รายได้สูงสุดโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ

1. ภาวะรวยเร็วเกินไป (Sudden Wealth Syndrome)

มอร์แกนแนะนำว่า การประสบความสำเร็จอย่างค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะจะช่วยให้คุณมีเวลาปรับตัว พัฒนาทักษะ และสร้างความมั่นคงทางอาชีพได้มากขึ้น หากคุณก้าวหน้าเร็วเกินไปโดยที่ไม่มีรากฐานที่มั่นคง อาจทำให้คุณขาดความอดทน และไม่สามารถรับมือกับความท้าทายรูปแบบต่างๆ ในชีวิตการงานได้

2. เสี่ยงเกิดภาวะหมดไฟเร็ว (Burnout Fast-Track)

การไล่ล่ารายได้ที่สูงขึ้นด้วยการเปลี่ยนงานบ่อย อาจนำไปสู่ชั่วโมงทำงานที่หนักขึ้น ความเครียดที่เพิ่มขึ้น และสุขภาพจิตที่เสื่อมโทรม มอร์แกนกล่าวว่า "เงินที่ได้มาเร็ว ไม่ใช่เงินที่ได้มาฟรีๆ" คุณอาจต้องแลกด้วยเวลาพักผ่อน พลังงาน และสุขภาพจิตของคุณเอง เธอแนะนำว่า ช่วงอายุ 20-30 ปี ควรเป็นเวลาสำหรับการเรียนรู้และค้นหาตัวเอง ไม่ใช่แค่การมุ่งหาเงินเดือนที่สูงที่สุด

3. ติดกับดักความมั่นใจเกินตัว-ไม่เชี่ยวชาญจริง (Fake Expertise Trap)

มอร์แกนเตือนว่าการประสบความสำเร็จเร็วเกินไป อาจทำให้บางคนขาดความเต็มใจที่จะเรียนรู้จากผู้อื่น คนที่ได้เงินเดือนสูงตั้งแต่อายุยังน้อยมักคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแล้ว (เป็นน้ำเต็มแก้ว) และไม่เปิดรับคำแนะนำใหม่ๆ เธอแนะนำว่า "ถ้าคุณคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดในห้องนี้ ให้ลองเปลี่ยนไปห้องอื่นดู และไปอยู่ในที่ที่คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้"

4. เกิดวิกฤติการหาความหมายในชีวิต (The Purpose Crisis)

มอร์แกนบอกอีกว่า ในช่วงอายุ 20-30 ปี คุณอาจคิดว่าการได้เงินเดือนสูงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่พอถึงอายุแตะเลข 30 ขึ้นไป คุณอาจเริ่มตั้งคำถามว่า "ฉันทำงานนี้ไปเพื่ออะไร?" เธอยกตัวอย่างอินฟลูเอนเซอร์ที่โด่งดังอย่างรวดเร็วและหาเงินได้มหาศาล แต่กลับต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว

เธอแนะนำว่า หากคุณกำลังมองหางานใหม่ ให้ถามตัวเองว่า "ถ้าเงินเดือนไม่สูงเท่านี้ ฉันยังอยากทำงานนี้อยู่ไหม?" หากได้คำตอบคือ "ไม่" นั่นแปลว่าอาจถึงเวลาที่คุณต้องทบทวนเส้นทางอาชีพของคุณใหม่แล้ว

ท้ายที่สุดรีโฮวาสรุปว่า Job Hopping ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป หากคุณสามารถอธิบายได้ว่าการเปลี่ยนงานช่วยให้คุณเติบโตและพัฒนาทักษะอย่างไร เธอแนะนำให้ใช้ จดหมายสมัครงาน (Cover Letter) เพื่ออธิบายประสบการณ์ของคุณ และทำให้นายจ้างเห็นว่าคุณมีศักยภาพในการเติบโต

หากคุณเป็นผู้ลูกจ้างที่กำลังหางานใหม่ อย่าลืมเตรียมคำตอบให้ดีเมื่อถูกถามถึงเหตุผลของการเปลี่ยนงาน ในขณะที่หากคุณเป็นนายจ้าง อย่าเพิ่งรีบตัดสินพนักงานจากประวัติการเปลี่ยนงานบ่อยเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาถึงความสามารถและศักยภาพของพวกเขาด้วย

 

อ้างอิง: Forbes, Kickresume, Edubirdie, LinkedIn, Forbes2