AI อาจเร่งเทรนด์ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ให้ยิ่งโตเร็วขึ้นทั่วโลก

AI อาจเร่งเทรนด์ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ให้ยิ่งโตเร็วขึ้นทั่วโลก

เครื่องมือ AI อย่าง Microsoft Copilot อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เร็วขึ้น ดีขึ้น เร่งการเกิดเทรนด์ทำงานแบบใหม่ "ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์" ได้อย่างมีนัยสำคัญ

KEY

POINTS

  • AI อาจช่วยลดเวลาทำงานและเป็นตัวเร่งเทรนด์ "ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์" ให้เป็นจริงเร็วขึ้น เมื่อเครื่องมือ Microsoft Copilot สามารถลดภาระงานที่ไม่จำเป็น เช่น การจัดประชุมและประสานงาน ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่สั้นลง
  • การนำ AI มาใช้ต้องมีการปรับตัวของทั้งองค์กร แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้บางคน แต่ประโยชน์ที่ได้รับยังไม่เท่ากันทุกกลุ่ม หากองค์กรต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร
  • ผลกระทบของ AI ต่อการทำงานจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท บางองค์กรอาจใช้ AI เพื่อลดชั่วโมงทำงาน แต่บางแห่งอาจคาดหวังให้พนักงานใช้เวลาที่เหลือทำงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น หรือแม้แต่ลดจำนวนพนักงานบางส่วน แล้วใช้เอไอทำแทนซึ่งได้ประสิทธิภาพเท่ากัน

ก่อนหน้านี้กรุงเทพธุรกิจเคยรายงานเกี่ยวกับเทรนด์ทำงานยุคใหม่อย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยหนึ่งในระบบทำงานรูปแบบใหม่ที่ต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิด ก็คือ การทดลองของโครงการ "ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์" หรือ 4 Day work week ที่หลายบริษัททั่วโลกทดลองและวิจัยระบบงานออฟฟิศแบบนี้มานานเป็นปีๆ ซึ่งส่วนใหญ่ผลการทดลองก็พบว่า พนักงานผู้เข้าร่วมทดลองแสดงความสนใจในแนวคิดนี้อย่างมาก

ตามผลสำรวจของ CNBC และ Generation Lab ในปี 2024 ที่สำรวจวัยทำงานชาวอเมริกันอายุ 18-34 ปี จำนวน 1,033 คน พบว่า 81% ของพนักงานหนุ่มสาวต่างก็สนับสนุนระบบทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ โดยมีการคาดการณ์กันว่า ในอนาคตอันใกล้ การมาถึงของเครื่องมือ AI เช่น Microsoft Copilot อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ให้เข้าถึงระบบสัปดาห์ทำงานสี่วันได้อย่างมีนัยสำคัญ

AI เข้ามาลดภาระงาน ผลักดันเทรนด์ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์โตต่อเนื่อง

รีเบคกา ฮินด์ส (Rebecca Hinds) หัวหน้าห้องปฏิบัติการนวัตกรรมการทำงานของ Asana ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารจัดการโปรเจกต์ (Project Management Software) บอกว่า ประมาณ 53% ของเวลาการทำงานของพนักงานออฟฟิศถูกใช้ไปกับงานที่ไม่จำเป็น เช่น การจัดตารางประชุม การเข้าร่วมประชุม และการประสานงานต่างๆ ซึ่ง AI มีศักยภาพอย่างมากในการทำให้งานเหล่านี้ถูกจัดการได้อย่างอัตโนมัติในเวลาสั้นๆ 

ด้วยความหวังว่า AI จะสามารถลดภาระงานของพนักงานได้มาก คำถามที่ตามมาคือ เทคโนโลยีนี้จะนำไปสู่สัปดาห์การทำงานสี่วันในอนาคตได้หรือไม่?

เรื่องนี้มีคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง เคลลี แดเนียล (Kelly Daniel) ผู้อำนวยการฝ่ายคำสั่งใช้งานเอไอ (prompt director) ของบริษัท Lazarus AI ระบุว่า "ฉันเชื่อว่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน โมเดล AI จากหลายบริษัทกำลังถูกพัฒนาฉลาดขึ้น มีความสามารถมากขึ้น และความสามารถในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับประสบการณ์เฉพาะกำลังเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และราคาถูกลง"

ด้านผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ก็เห็นด้วยในทิศทางเดียวกัน แต่การจะนำมาใช้งานได้จริงอย่างแพร่หลายนั้น ก็มีปัจจัยหลายอย่าง และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในระดับองค์กร แต่ในมิติของการนำมาช่วยให้พนักงานทำงานได้เร็วขึ้น มีผลิตผลมากขึ้น ก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ AI อาจมีบทบาทมากขึ้น จนทำให้ระบบทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลก

ระบบทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะเกิดได้ พนักงานทุกคนต้องเข้าถึง AI เท่าเทียมกัน

แม้ว่าหลายคนเริ่มเห็นประโยชน์จากการใช้เครื่องมือ AI แต่ความสำเร็จของเครื่องมือเหล่านี้ยังกระจายตัวไม่เท่าเทียมกัน ในประเด็นนี้ ฮินด์ส มองว่าสำหรับพนักงานที่ใช้ AI ทุกวัน 89% ของพวกเขารายงานว่าประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น แต่หากพนักงานกลุ่มที่ใช้ AI เพียงเดือนละครั้งหรือสัปดาห์ละครั้ง ประสิทธิภาพการทำงานก็อาจลดน้อยลงไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งนี้ทำให้องค์กรประเมินประสิทธิผลที่แท้จริงของเทคโนโลยีนี้ได้ยาก และการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารกำลังคนในออฟฟิศก็ยากตามไปด้วย ฮินด์ส บอกอีกว่า "เพื่อให้การจัดการทำงานรูปแบบ 4 วันต่อสัปดาห์ให้ประสบความสำเร็จได้จริงนั้น ทุกคนจำเป็นต้องได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีและสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียมกัน"

จนกว่าจะมีการนำ AI ไปใช้อย่างกว้างขวางทั้งในระดับบุคคลและทีมทุกๆ แผนก การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น (4 day work week) คงยังไม่เกิดขึ้น ฮินด์ส มองว่าหลายองค์กรยังคงสบายใจกับสถานการณ์และระบบทำงานปัจจุบัน

แต่ละองค์กรมีเป้าหมายใช้ AI ต่างกัน ไม่ใช่ทุกที่จะใช้เพื่อลดวันทำงาน

เมื่อถึงเวลาที่บริษัทต่างๆ นำเทคโนโลยี AI นี้มาใช้อย่างแพร่หลาย และเห็นการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงานที่ใช้เวลาสั้นลงก็จริง แต่ผลลัพธ์อาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ อย่าเพิ่งคาดหวังว่าทุกบริษัทจะมุ่งสู่เทรนด์ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

มาร์ค รีเดิล (Mark Riedl) ศาสตราจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย อธิบายว่า บางบริษัทอาจบอกว่า "เราคาดหวังให้พนักงานมีผลผลิตต่อสัปดาห์เท่าเดิม ถ้าคุณทำได้ในสี่วันแทนห้าวัน แบบนั้นก็ยอดเยี่ยม ทำงานให้ได้ตามกำหนดแล้วกลับบ้านได้เลย"

บางบริษัทอาจบอกว่า แทนที่จะให้ AI ทำงานประจำ "แต่พนักงานควรเปลี่ยนไปทำงานที่มีความหมายมากขึ้น และยังคงทำงานในปริมาณงานเท่าเดิม เพราะงานมีให้ทำไม่จบไม่สิ้นอยู่แล้ว" ขณะที่บางบริษัทอาจใช้ AI เพื่อลดจำนวนพนักงานลง ซึ่งอาจหมายความว่า เกิดการปลดคนออกแล้วพนักงานที่เหลืออยู่ต้องรับงานเหล่านั้นมาทำแทน

รีเดิลไม่คิดว่าจะมีตำแหน่งงานจำนวนมากนักที่จะถูก AI แทนที่ 100% แต่บางบริษัทอาจพบว่าพวกเขาสามารถทำงานได้ปริมาณเท่าเดิมด้วยจำนวนคนน้อยลง นั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งให้เลย์ออฟพนักงานออกไปได้เช่นกัน

ท้ายที่สุด เคลลี แดเนียล สรุปว่า ผลกระทบของ AI ต่อคนทำงานนั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กรธุรกิจ ซึ่งขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการของผู้นำองค์กรว่ามองทิศทางการใช้เอไอเป็นไปในทิศทางใดที่เหมาะสมกับองค์กรของตนเองมากที่สุด

 

อ้างอิง: CNBCGenerationlab, AsanaLazarusai