วิธีแฮกความสำเร็จฉบับ บิล เกตส์ ความอยากรู้อยากเห็นคือคีย์สำคัญ

เจ้าพ่อบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ "บิล เกตส์" เผยวิธีแฮกความสำเร็จจากลักษณะนิสัย No.1 ของเขา นั่นคือ ความช่างสงสัย ความอยากรู้อยากเห็น และไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ
KEY
POINTS
- คุณลักษณะอันดับหนึ่งที่ทำให้ 'บิล เกตส์' เจ้าพ่อบริษัทเทคฯ ไมโครซอฟท์ โดดเด่นและประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ก็คือ "ความอยากรู้อยากเห็น" ของเขาที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ
- เกตส์ แสวงหาความรู้ที่กว้างขวางมาตลอดชีวิตและการทำงาน และความอยากรู้อยากเห็นที่เปิดกว้างนี้เอง ที่เป็นส่วนผสมสำคัญของความสำเร็จ
- เขาไม่ได้เรียนแค่วิชาคณิตและคอมพิวเตอร์ แต่ยังลงเรียนวิชากฎหมายอาญาและประวัติศาสตร์อังกฤษด้วย
- เกตส์ดีใจที่เติบโตมาก่อนยุคสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันคอยรบกวนสมาธิ แต่อีกมุมหนึ่งก็อดอิจฉาเด็กสมัยนี้ไม่ได้ เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลมากมายได้ง่ายกว่ายุคก่อน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจ้าพ่อบริษัทเทคฯ Microsoft อย่าง "บิล เกตส์" เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เจ้าตัวเชื่อว่าคุณลักษณะหนึ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ และช่วยผลักดันให้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามนั้นก็คือ "ความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ"
"ผมทุ่มเทพลังงานมหาศาลไปกับการพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆ" เกตส์บอกเล่าผ่าน CNBC Make It ยืนยันได้จากกิจกรรมหลักในวัยเด็กของเขา ที่เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงอ่านหนังสือเชิงลึกในหลากหลายหัวข้อ ตั้งแต่วิทยาการคอมพิวเตอร์ไปจนถึงประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังที่เขาเขียนไว้ในหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มใหม่ "Source Code" ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ความอยากรู้อยากเห็นที่เปิดกว้าง คือคีย์สำคัญของความสำเร็จ
เขาเล่าย้อนกลับไปในความทรงจำวัยเด็กในตอนอายุ 9 ขวบ เกตส์บอกว่าเขาอ่านสารานุกรม World Book จนครบทั้งชุด เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเขา ซึ่งตอนนี้เขายอมรับว่ามันอาจจะดูเนิร์ดไปหน่อย แต่เขาเป็นคนที่อ่านสารานุกรมไล่ไปตั้งแต่หมวด A, B, C, D และอื่นๆ แม้ไม่รู้ว่าตนเองจะจำข้อมูลทั้งหมดนั้นได้แค่ไหน แต่เขาก็ยังคงชอบอ่านไปจนครบหมดทุกเล่ม
เกตส์บอกว่าเขาแสวงหา "ความรู้ที่กว้างขวาง" มาตลอดชีวิตและการทำงาน และความอยากรู้อยากเห็นที่เปิดกว้างนี้เอง ที่เป็นส่วนผสมสำคัญของความสำเร็จ แทนที่จะโฟกัสแค่วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในช่วงระยะเวลาที่เขาเรียนระดับปริญญาตรี 3 เทอมที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่เกตส์กลับเลือกลงเรียนวิชาเพิ่มเติมที่เขาสนใจ เช่น กระบวนการยุติธรรมทางอาญา วิชาจิตวิทยา และประวัติศาสตร์อังกฤษ
เขาอธิบายว่า วิชาจิตวิทยามีประโยชน์สำหรับทักษะทางสังคมที่กำลังพัฒนา ในขณะที่วิชาเศรษฐศาสตร์ก็พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์เมื่อเขาต้องบริหารธุรกิจระดับโลก โดยเกตส์บอกอีกว่า "ผมได้ใช้ความรู้เกือบทั้งหมดที่ได้เรียนมาใช้ในงาน และผมดีใจที่มีความอยากรู้อยากเห็นจนได้เรียนวิชาที่หลากหลายเหล่านั้น ผมจึงมักสนับสนุนให้ผู้คนเรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างกว้างขวาง"
ยิ่งมีความรู้กว้างขวาง ยิ่งต่อยอดสายงานไปได้หลากหลายอุตสาหกรรม
เมื่อเกตส์ลงจากตำแหน่ง CEO ไมโครซอฟท์ในปี 2000 เขามองหาวิธีใช้เวลาและการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ขยายขอบเขตไปกว้างไกลกว่าสายไอทีและคอมพิวเตอร์ โดยการที่เขาได้อ่านและศึกษาเกี่ยวกับวิกฤติสุขภาพโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ล้วนแต่ช่วยจุดประกายให้เขาทำงานด้านการกุศลในสายงานเหล่านั้น ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้อย่างมาก
เกตส์ดีใจที่เขาเองเติบโตมาก่อนยุคสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันคอยรบกวนสมาธิ แต่เขาก็อดอิจฉาเด็กสมัยนี้ไม่ได้ ที่พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลมากมายได้อย่างง่ายๆ
"ทุกวันนี้การเรียนรู้ง่ายขึ้นมาก โลกที่มีข้อมูลบนออนไลน์นั้นมหัศจรรย์มาก สมัยก่อนผมต้องไปค้นหาตามห้องสมุดและหาหนังสือต่างๆ" เขาสะท้อนให้เห็นภาพความแตกต่าง
การสร้างนิสัย "ความอยากรู้อยากเห็น" ต้องได้รับการบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก
ในหนังสือ "Source Code" เขาเขียนว่า ครอบครัวมีส่วนสนับสนุนความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้าของเขา แม้ว่าบางครั้งเขาจะหายเข้าไปในห้องหลายชั่วโมงเพื่ออ่านหนังสือ และจะโผล่ออกมาก็ต่อเมื่อจะถามคำถามเพื่อนๆ และเพื่อนร่วมงานของพ่อแม่ที่มาเยี่ยมบ้าน
พ่อแม่ของเกตส์มักจะเชิญแขกมาร่วมงานดินเนอร์และพูดคุยกัน ตั้งแต่นักการเมืองท้องถิ่น ไปจนถึงทนายความที่ทำงานกับพ่อของเขา และแม่ของเขาก็สนับสนุนให้ตัวเขามีส่วนร่วมและเรียนรู้จากแขกผู้ใหญ่เหล่านั้น บางครั้งพ่อของเกตส์ก็ให้เขาศึกษาคดีความและเอกสารทางกฎหมายที่กำลังทำอยู่ ทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำงานภายใต้หลักการของกฎหมาย
"แน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นไม่สามารถเติบโตได้แบบทันทีทันใด มันต้องได้รับการบ่มเพาะ ต้องเข้าถึงทรัพยากร ได้รับการชี้แนะ และการสนับสนุน" เกตส์เขียนในหนังสือของเขา
เกตส์ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้ความสำคัญกับคำถามของเขา ส่งเสริมการพูดคุย และชื่นชมเมื่อเขาถามคำถามที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขากล่าวว่า "เป็นวิธีที่น่าทึ่งมากที่พวกท่านนำเอาความโน้มเอียงตามธรรมชาติของผมมาผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า"







