เปิดวิธีสร้างความสำเร็จ 'วัยทำงาน' แบบไม่ Burnout ไม่ต้องเสียสละความสุข

การประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพ ไม่จำเป็นต้องแลกมากับความเครียดและปัญหาทางสุขภาพ นักจิตวิทยาเผย 8 เคล็ดลับการทำงานให้ประสบความสำเร็จแบบไม่ Burnout และมีความสุขในชีวิต
KEY
POINTS
- นักจิตวิทยาเผยวิธีทำงานให้ประสบความสำเร็จแบบไม่ต้อง Burnout และมีความสุขในชีวิต โดยข้อแนะนำสำคัญคือ วัยทำงานควรมุ่งสู่ความเป็นเลิศ ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ โฟกัสที่ความก้าวหน้าและความสมดุลของชีวิต
- วัยทำงานควรโอบรับความไม่แน่นอนด้วยทัศนคติบวก ฝึกปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เผชิญความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อเพิ่มพลังงานเชิงบวกและความสำเร็จในอาชีพ
- ฝึกขอบคุณสิ่งเล็กๆ รอบตัว การแสดงความกตัญญูช่วยเพิ่มระดับความสุขและลดความเครียดในชีวิตประจำวัน และควรให้รางวัลตัวเองเมื่อบรรลุเป้าหมาย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ก้าวต่อไป
สำหรับวัยทำงานที่อยากประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ไม่ว่าจะในฐานะพนักงานออฟฟิศหรือผู้ประกอบการธุรกิจก็ตาม หลายคนมักมองว่าการที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องแลกมากับความเครียดและปัญหาทางสุขภาพ แต่ในความเป็นจริง คุณไม่จำเป็นต้องละทิ้งความสุขระหว่างเส้นทางอาชีพ วัยทำงานทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จโดยมีความเครียด ความกังวล และความเหนื่อยล้าที่น้อยลงได้
แมรี่ แอนเดอร์สัน (Mary Anderson) นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Happy High Achiever” ได้แชร์แนวคิดสำคัญจากบางช่วงบางตอนจากหนังสือเล่มดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อวัยทำงานทุกกลุ่มทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการบรรลุเป้าหมายในอาชีพการงานและยังคงใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาพกายใจที่ดี
นี่คือเคล็ดลับการทำงาน 8 ข้อที่เธอแนะนำว่าสามารถช่วยให้วัยทำงานกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จที่มีความสุขได้
1. มุ่งสู่ความเป็นเลิศ ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ
“ความเป็นเลิศของการทำงานนั้นขึ้นอยู่กับการให้เกียรติร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของตัวเอง ให้พื้นที่กับขอบเขตของความสำเร็จของแต่ละขั้นในชีวิต มากกว่าจะตัดสินตัวเองด้วยทัศนคติความสมบูรณ์แบบ (ถ้าไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับล้มเหลว) นักจิตวิทยาแนะนำให้ใช้สมการว่า “ความเป็นเลิศ = ความสุข สุขภาพดี และประสบความสำเร็จสูง” ทุกครั้งที่คุณทำงานในโครงการต่างๆ ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมายว่า..
มีความสุข: ให้ความสำคัญกับความรู้สึกและพฤติกรรมเชิงบวก จงลดระดับความเครียด ไม่ใช่เพิ่มระดับความเครียด
สุขภาพดี: ปฏิบัติตนดีๆ ที่ทำให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง เช่น นอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ดี
ประสบความสำเร็จสูง: มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายที่มีความหมาย แต่จำไว้ว่าคุณเป็นมนุษย์และสามารถทำผิดพลาดได้
2. ลงทุนในการดูแลตนเอง เพิ่มพลังร่างกาย-จิตใจ
แอนเดอร์สันตั้งข้อสังเกตว่า หากต้องการเพิ่มพลังงานและหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟ คุณต้องลงทุนกับการดูแลตัวเอง โดยอาจทำตามหลักการ 4 ประการ S.E.L.F ได้แก่ การนอนหลับ(Sleep), การออกกำลังกาย(Exercise), การมองไปข้างหน้า(Look forward) และเชื้อเพลิงเติมไฟในการทำงาน(Fuel)
หลักการนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการพักผ่อนให้เพียงพอ การเคลื่อนไหวร่างกายทุกวัน การวางแผนกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นกับคนที่คุณรัก และการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อเติมพลังให้ร่างกายของคุณ และเมื่อคุณทำงาน จงประหยัดพลังงานได้ด้วยการจัดการกับงานที่ยากที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ จัดการงานที่เหลือให้เสร็จ และระวังอย่าให้รายการสิ่งที่ต้องทำของแต่ละวันนั้นมากเกินไป
3. โอบรับความไม่แน่นอนด้วยทัศนคติในแง่บวก
แอนเดอร์สันแนะนำให้วัยทำงานเตือนตัวเองเสมอว่า “ชีวิตคือความไม่แน่นอน พยายามยอมรับมันแทนที่จะวิ่งหนีจากมัน” เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น คุณก็จะความสามารถหาทางแก้ปัญหาและรับมือกับผลลัพธ์ใดๆ ได้เสมอ จงเชื่อมั่นในตนเอง โดยวิธีเริ่มต้นง่ายๆ คือ ฝึกพูดคุยกับตัวเองในแง่บวก ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกมีความหวังกับความเป็นไปได้ต่างๆ และตื่นเต้นไปกับโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต
4. พัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง สร้างคอนเนกชันที่ดี
หากต้องการมุ่งสู่ความเป็นเลิศในการทำงานและการใช้ชีวิต คุณต้องร่วมมือกับผู้อื่น “แม้แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ของการเชื่อมต่อกับผู้คนก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางของคุณไปสู่สิ่งใหม่ๆ ได้” นอกจากนี้งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดพบว่า การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตของคุณยังสามารถช่วยให้คุณมีความสุขและมีสุขภาพดีขึ้นได้อีกด้วย
อาจเริ่มจากค้นหาคนที่ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขที่สุด และคอยสนับสนุนคุณในการทำงานเพื่อบรรลุความฝัน คนเหล่านั้นจะช่วยให้คุณผ่อนคลายและเปลี่ยนโฟกัสจากความคิดฟุ้งซ่านที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปสู่ช่วงเวลาปัจจุบันที่อิงตามความเป็นจริง ซึ่งคุณจะรู้สึกดีกับตัวเองและซาบซึ้งไปกับความรู้สึกนั้น
5. เปลี่ยนคำว่า ‘should’ เป็น ‘can’
คำพูดที่คุณใช้เมื่อพูดถึงเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จนั้น มีความสำคัญ วลีเช่น “ฉันควรเข้านอนเร็วกว่านี้” หรือ “ฉันน่าจะวิ่งมาราธอนได้” มักจะสื่อความหมายในเชิงลบ และสร้างความไม่สมดุลให้ชีวิต ทำให้คุณติดอยู่กับที่โดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ ดังนั้น ให้ลองเปลี่ยนใหม่เป็นการเริ่มประโยคการพูดเกี่ยวกับเป้าหมายของคุณด้วยคำว่า “ฉันทำได้” หากพูดแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้คุณลงมือทำสิ่งนั้นได้เร็ว และบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
6. ขอบคุณสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวเสมอ
การวิจัยพบว่าการฝึกฝนให้ตนเองของคุณสิ่งต่างๆ รอบตัวบ่อยๆ ครั้ง (การฝึกจิตใจแห่งความกตัญญูกตเวที) สามารถเพิ่มระดับความสุขที่มากขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต “หากเราฝึกคิดโดยยึดหลักความกตัญญูในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เราก็จะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปได้ด้วยความวิตกกังวลน้อยลงและง่ายดายมากขึ้น”
อีกทั้งตามที่นักวิจัยของโรเบิร์ต เอ็มมอนด์ (Robert Emmons) ผู้เขียนหนังสือชื่อ “Gratitude Works” ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การจดบันทึกความขอบคุณลงในสมุดอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นการฝึกนิสัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่มากขึ้น เช่น ออกกำลังกายมากขึ้นและนอนหลับให้ดีมากขึ้น
7. เฉลิมฉลองชัยชนะของคุณ
เมื่อคุณทำงานใดๆ สำเร็จก็ตาม ช่วงเวลาเหล่านั้นสมควรได้รับการเฉลิมฉลอง คุณสามารถออกไปทานอาหารมื้อพิเศษนอกบ้าน, ซื้อของขวัญดีๆ ให้ตัวเอง, ไปเที่ยวในสถานที่ที่คุณอยากไป ฯลฯ นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกเขียนบันทึกเกี่ยวกับความรู้สึกที่คุณได้รับจากความสำเร็จ หรือใช้ความตื่นเต้นที่คุณมีทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย
ประเด็นสำคัญคือ การเฉลิมฉลองในทุกๆ ความสำเร็จของตัวเอง จะช่วยย้ำเตือนให้เราไม่ลืมว่าเราก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จ (ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม) และในอนาคตคุณยังสามารถใช้ความทรงจำเหล่านี้เป็นเชื้อไฟในการทำงานต่อไปข้างหน้าได้
8. เลือกเป้าหมายที่มีความหมาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านความสุขอย่าง อาร์เธอร์ ซี. (Arthur C. Brooks) อธิบายว่า เมื่อคุณเลือกเป้าหมายที่มีความหมายสำหรับตัวเอง เรามักจะมีแนวโน้มทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นมากขึ้น การมีจุดมุ่งหมายเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับความสุข
ในขณะที่นักจิตวิทยาอย่างแอนเดอร์สันแนะนำว่า การเลือกเป้าหมายที่มีความหมายนั้น ให้เริ่มจากถามคำถามตัวเองว่า “ฉันอยากประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตบ้าง?” , “ฉันอยากมีส่วนสนับสนุนต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม หรือโลก เพื่อช่วยให้มันดีขึ้นได้อย่างไร?” , “ฉันอยากให้คนรุ่นหลังจดจำฉันอย่างไร?” เป็นต้น การตั้งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกบทบาทอาชีพหรือตำแหน่งงานที่คุณอยากทำ-อยากเป็น ได้ตรงกับเป้าหมายของตนเองได้ดีขึ้น
อ้างอิง: CNBC, Mary Anderson PHD