มองวัฒนธรรมฮิปฮอป ผ่านคู่กัด เคนดริก-เดรก ด้วยการโจมตีผ่านเพลงดิสแทร็ก

มองวัฒนธรรมฮิปฮอป ผ่านคู่กัด เคนดริก-เดรก ด้วยการโจมตีผ่านเพลงดิสแทร็ก

“Not Like Us” ไม่ใช่แค่เพลงที่ชนะรางวัลแกรมมี่มากถึง 5 ตัวเท่านั้น แต่ยังสามารถอธิบายความเป็น “ฮิปฮอป” ได้อีกด้วย เพราะนอกจากจะเป็นเพลงที่เล่าถึงสภาพสังคมและวัฒนธรรมแล้ว ยังโจมตีไปที่แร็ปเปอร์คนอื่นหรือที่เรียกว่า “ดิสแทร็ก” อีกด้วย

Not Like Us” เพลงแรปสุดโหดจาก “เคนดริก ลามาร์” ที่สามารถคว้ารางวัลจากเวทีแกรมมี่มาได้ถึง 5 สาขา ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ถึง 2 สาขานั่นก็คือ “Song of the year” และ “Record of the year” เรียกได้ว่าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการเพลงฮิปฮอปอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นเพลงแรปเพลงที่สองที่ได้รางวัลใหญ่ต่อจากเพลงเนื้อหาสุดเสียดสีการเมืองอเมริกาอย่าง “This Is America” ของ ไชด์ดริชด์ แกมบิโน ในปี 2019 ที่คว้า 2 รางวัลนี้มาได้

มองวัฒนธรรมฮิปฮอป ผ่านคู่กัด เคนดริก-เดรก ด้วยการโจมตีผ่านเพลงดิสแทร็ก เคนดริก ลามาร์ เครดิตภาพ : reuters

แม้ว่าผู้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาใหญ่ปีนี้เรียกได้ว่าเป็น “สายแข็ง” ไม่ว่าจะเป็น บิลลี ไอลิช, บียอนเซ่, เลดี้ กาก้า หรือ ซาบรินา คาร์เพนเตอร์ แต่ เคนดริก ก็สามารถเอาชนะมาได้ แม้ว่าจะมีหลายคนเห็นด้วยว่ารางวัลทั้งหลายที่เขาได้มานั้นเหมาะสมและมีการพูดติดตลกกันในหมู่แฟนคลับว่า “ด่าจนได้ดี” แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่มีข้อสงสัยว่าทำไมเพลงแบบ “ดิสแทร็ก” หรือ Diss Track เพลงแนวเสียดสีศิลปินคนอื่น ซึ่งส่วนมากมักเกิดจากความไม่พอใจส่วนตัวระหว่างศิลปิน ถึงปาดหน้าคู่แข่งเบอร์ใหญ่ไปได้แบบไม่น่าเชื่อ

แต่ในครั้งนี้เราอาจจะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องรางวัลกันมากนัก แต่จะขอพาไปทำความรู้จักกับ “วัฒนธรรมฮิปฮอป” ตั้งแต่จุดเริ่มต้นแบบคร่าวๆ และทำไมศิลปินในวงการนี้จึงมักแต่งเพลงเสียดสีกันอย่างดุเดือด ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นมาจากความแตกต่างกันของแนวเพลงและเนื้อหาของ 2 ฝั่งประเทศอย่าง East Coast และ West Coast

ฮิปฮอปแนวเพลงที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุค 70’s

จุดเริ่มต้นของแนวเพลงฮิปฮอปนั้นมาจากย่านนิวยอร์ก ที่เรียกว่าเป็นฝั่งตะวันออกของอเมริกา (East Coast) ตั้งแต่ในช่วงปี 1970 โดย DJ Kool Herc ที่ริเริ่มเทคนิคการเปิดแผ่นที่เรียกว่า “เบรกบีท” แล้วค่อยๆ พัฒนามาเป็นดนตรีฮิปฮอปที่มีจังหวะหนักแน่นมากขึ้น มีเนื้อเพลงเล่าเรื่องราวสะท้อนสังคมที่เน้นไปในเรื่องของชีวิตในเมืองใหญ่ที่มีทั้ง ความยากจน และ อาชญากรรมมากมาย ทำให้ใครหลายคนต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แต่ก็ยังมีเนื้อเพลงที่พูดถึงความสัมพันธ์และความรักไม่ที่ไม่ต่างจากเพลงแนวอื่นเช่นกัน และที่สำคัญยังมีการเล่าถึงเรื่องราวของส่วนตัวของศิลปินอีกด้วย

ความโดดเด่นของเพลงฮิปฮอปในฝั่งตะวันออกก็คือการใช้ถ้อยคำที่มีความซับซ้อนแต่มีสัมผัสที่คล้องจอง ไปจนถึงการใช้ภาษาถิ่นของศิลปินแต่ละคน รวมถึงยังมี “แฟชั่น” ที่เป็นเอกลักษณ์ และเป็นที่มาของเสื้อผ้าแนว “สตรีท” ที่เน้นความสะดวกสบายคล่องตัว ทำให้กางเกงเอวต่ำและเสื้อยืดตัวโคร่งกับรองเท้าผ้าใบกลายเป็นภาพจำของใครหลายคนเมื่อนึกถึงศิลปินฮิปฮอป

และหากพูดถึงศิลปินที่เป็นเบอร์ต้นของนิวยอร์กก็คงหนีไม่พ้น “เจย์ซี” (Jay-Z) ที่เรียกได้ว่ามีความสามารถเป็นที่ประจักษ์เพราะแม้ว่าจะมาจากครอบครัวที่มีพื้นฐานไม่ค่อยดีนักและเคยพัวพันกับปัญหา “ยาเสพติด” แต่ก็สามารถผลักดันตัวเองเข้าสู่วงการได้ ความสามารถที่เห็นได้ชัดของเขาคือการแต่งเพลง ที่บางเพลงของเขาไม่ได้เขียนเนื้อลงไปบนกระดาษด้วยซ้ำแต่ใช้สมองจำล้วนๆ ทำให้ปัจจุบันนอกจากเจย์ซีและภรรยาอย่างบียอนเซ่จะเป็นศิลปินที่มีรางวัลแกรมมี่อยู่ในมือหลายสิบตัวแล้วยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย

เพลง Izzo (H.O.V.A.) ของ JAY-Z

มาที่ด้านฮิปฮอปฝั่งตะวันตกที่เหมือนว่าจะเกิดขึ้นทีหลัง แต่ก็ไม่ได้ทิ้งช่วงนานมากนักเพราะเริ่มมีวิวัฒนาการมาในช่วงยุค 90’s โดยมีศิลปินอย่าง N.W.A เป็นผู้นำเสนอเพลงแนว “แก๊งสตาแร็ป” ซึ่งมีเนื้อหาที่รุนแรงและตรงไปตรงมา เล่าถึงชีวิตชาวแก๊ง การต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องอำนาจและเงินทอง ไปจนถึงความรุนแรงในสังคม มีภาษาถิ่นเป็นเอกลักษณ์

โดยเฉพาะใน “ย่านคอมป์ตัน” ที่มีความสำคัญกับวัฒนธรรมของ “คนผิวดำ” เป็นอย่างมากเพราะศิลปินและนักกีฬาระดับโลกก็เกิดและเติบโตมาจากย่านนี้ แต่แท้จริงคนดำในคอมป์ตันจริงๆ ในอดีตส่วนมากถ้าหาทางออกมาจากตรงนั้นไม่ได้ก็มักจบลงด้วยความตายหรือติดคุกติดตะรางจากการก่ออาชญากรรม ทำให้บางคนอาจมองว่าค่อนข้างจะดิบเถื่อน แม้ว่าจะเป็นดนตรีที่มีจังหวะง่ายๆ สบายๆ ส่วนหนึ่งเพราะได้รับอิทธิพลจาก “ดนตรีฟังก์”

สำหรับแฟชั่นฝั่งตะวันตกนั้นมักเน้นความหรูหราทันสมัยแบบชาวแคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะ “เสื้อผ้าแบรนด์แนม” ที่เรามักเห็นผ่านมิวสิกวิดีโอ และศิลปินบางคนมักจะนำเงินเป็นฟ่อนเข้ามาถ่ายด้วยเพื่อแสดงออกถึงความร่ำรวย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกว่ามีเงินทองชื่อเสียงได้ขนาดนี้ก็ต้องผ่านช่วงชีวิตที่มีความยากลำบากเป็นอย่างมาก ซึ่งเราก็เชื่อว่าศิลปินระดับโลกที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีย่อมหนีไม่พ้น ทูพัค, สนูป ดอกก์, ดร.เดรย์ และ ไอซ์คิวบ์ โดยเฉพาะ ดร.เดรย์, สนูป ด็อกก์ และ เคนดริก ลามาร์ ที่ในปี 2022 เคยขึ้นโชว์ในช่วงพักครึ่งของการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ที่เรียกได้ว่าเป็นเวทีที่ศิลปินหลายคนใฝ่ฝันว่าอยากมีโอกาสได้ทำโชว์ที่นั่นสักครั้งในชีวิต

มองวัฒนธรรมฮิปฮอป ผ่านคู่กัด เคนดริก-เดรก ด้วยการโจมตีผ่านเพลงดิสแทร็ก Super Bowl Halftime 2022 (WWD)

แม้ว่าเพลงฮิปฮอปของทั้งสองฟากอเมริกาจะมีที่มาแตกต่างกัน แต่ก็มีเนื้อหาและดนตรีที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะการเป็นกระบอกเสียงให้กับ “คนชายขอบ” และการเล่าถึงปัญหาที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็นให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งในปัจจุบันทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกอาจจะไม่ได้แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนแล้ว เพราะมี “จุดร่วม” กันหลายอย่าง แต่ก็ย่อมมี “ความขัดแย้ง” ที่แสดงออกผ่านเพลง “ดิสแทร็ก” ให้เห็นอยู่เสมอ ทำให้เราแทบไม่เคยเห็นแร็ปเปอร์จากทั้งสองฝั่งร่วมงานกันเลย และคู่ที่กำลังเป็นประเด็นในวงการก็คือ “เดรก” ศิลปินลูกครึ่งจากแคนาดาที่เข้ามาใช้ชีวิตในวงการดนตรีที่นิวยอร์กกับ “เคนดริก ลามาร์” ศิลปินที่เป็นคนคอมป์ตันแท้ๆ

ดิสแทร็ก เมื่อการเสียดสีและการโจมตีออกมาในรูปแบบของบทเพลง

จุดเด่นอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอปก็คือการแต่งเพลงดิสกันหรือที่เรียกว่า “ดิสแทร็ก” และแน่นอนว่าส่วนมากมักจะเกิดขึ้นระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกที่เริ่มจากการไม่พอใจในตัวศิลปินอีกฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือความขัดแย้งด้านอื่นๆ

การแต่งเพลงดิสกันส่วนมากจะมีเนื้อหาที่รุนแรงและมีการใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย จะเรียกว่าการด่ากันผ่านเพลงก็ได้ เพราะมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าต้องการแสดงออกถึง การดูถูกและท้าทายอีกฝ่าย ประมาณว่าจะไม่ยอมให้มาหยามศักดิ์ศรีกันเด็ดขาด ทำให้ศิลปินฮิปฮอปมักจะนำดิสแทร็กมาเป็นการแข่งขันกันด้วย

แม้ว่าในอดีตเพลงจากศิลปินหลายคนจะเกิดจากความขัดแย้งด้านความคิดและวัฒนธรรม แต่ในปัจจุบันมีความรุนแรงมากกว่านั้น และก็ยังไม่ทิ้งความสร้างสรรค์ เพราะนอกจากจะต้องแสดงออกผ่านเนื้อเพลงแล้วการแสดงออกผ่านมิวสิกวิดีโอก็สำคัญไม่แพ้กันเพื่อให้ผู้ฟังได้มองเห็นภาพไปด้วย

ถึงตอนนี้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปและความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝั่งจะเริ่มเบาบางลงแต่เราก็ยังเห็นแร็ปเปอร์หลายคนออกมาแต่งเพลงเสียดสีกันไม่หยุด และบางครั้งก็ตีกันเองแม้จะอยู่ที่เดียวกัน จึงเรียกได้ว่า “การดิส” ยังไม่ตายไปจากวัฒนธรรมฮิปฮอป ซึ่งในบางครั้งศิลปินก็ไม่ได้ด่ากันเองแต่ยังแซะประเด็นสังคมอื่นๆ ด้วย เช่น การเมืองภายในประเทศ ความไม่เท่าเทียมโดยเฉพาะการที่คนผิวดำและคนผิวสีมักถูกเลือกปฏิบัติ

เดรก และ เคนดริก ศึกดิสแทร็กสะเทือนวงการไปจนถึงเวทีแกรมมี่

สำหรับคู่กัดที่มาแรงสุดๆ ในยุคนี้หลายคนยกให้ เดรก และ เคนดริก ลามาร์ มาเป็นอันดับต้นๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีความชัดเจนมากนักว่าจุดเริ่มต้นของทั้งคู่มาจากเพลงอะไรกันแน่ (เพราะมีหลายเพลงมาก) แต่ที่เห็นได้ชัดเจนสุดๆ ก็คือเพลง “Family Matters” ของเดรก ที่โจมตีไปยังเคนดริกโดยตรงกับท่อนที่ร้องว่า

“​​Ay, Kendrick just opened his mouth. Someone go hand him a Grammy right now. Where is your uncle at? 'Cause I wanna talk to the man of the house. West Coast niggas do fades, right?”

ที่แปลเป็นไทยคร่าวๆ แบบไม่ใช้คำหยาบว่า “อะ เคนดริกมันอ้าปากละ ใครก็ได้โยนรางวัลแกรมมี่ไปให้มันที แล้วลุงของแกอยู่ไหนอะ เพราะชั้นอยากจะคุยกับพวกหนุ่มๆ นั่นหน่อย พวกฝั่งตะวันตกก็ดูจะจืดๆ หน่อยนะ ว่ามั้ย ?” (แม้ว่าคำว่า niggas จะพบได้บ่อยในเนื้อเพลงแนวนี้ แต่ก็มักจะใช้เรียกกันเองระหว่างศิลปินหรือคนผิวดำที่แปลว่า พรรคพวก แต่ถ้าคนนอกวัฒนธรรมนำไปใช้ก็มักจะเป็นในเชิงเหยียดว่า พวกไอ้มืด)

หลังจากนั้นไม่นานเคนดริกก็ไม่อยู่เฉยปล่อยเพลง “Not Like Us” ออกมาสู้ และได้รับกระแสตอบรับในทางบวกอย่างล้นหลาม จนสร้างความไม่พอใจให้เดรกเป็นอย่างมากทำให้ค่ายเพลงของเขาถึงกับยื่นฟ้องเคนดริกว่า “ปั่นกระแสยอดสตรีม” มากเกินไป ซึ่งเคนดริกก็พูดถึงเดรกด้วยว่า “แกไม่ได้เป็นคนผิวสีจริงๆ สักหน่อย แล้วก็ไม่ได้มาจากวัฒนธรรมฮิปฮอปแบบของแท้ด้วยซ้ำ”

แม้ว่าการแต่งเพลงเสียดสีกันระหว่างแร็ปเปอร์จะเป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในวงการ แต่สิ่งที่ทำให้เพลง Not Like Us เกิดเป็นกระแสขึ้นมาอีกครั้งก็เพราะสามารถคว้ารางวัลจากเวทีแกรมมี่มาได้ถึง 5 สาขา ด้วยกัน ได้แก่ Song of the year, Record of the year, Best rap performance, Best rap song และ Best Music Video

เคนดริกขึ้นรับรางวัลบนเวทีถึง 5 ครั้งก็จริง แต่สุนทรพจน์ส่วนใหญ่ที่เขาหยิบยกมาพูดนอกจากการขอบคุณครอบครัวแล้ว ก็มักจะเกี่ยวกับเรื่องราวของวัฒนธรรมและความภาคภูมิใจในบ้านเกิด รวมถึงยังมองว่าดนตรีฮิปฮอปคือศิลปะ และเขาเองก็อยากจะพัฒนาชุมชนที่เขาเกิดและเติบโตมาให้ดียิ่งขึ้น

อ้างอิงข้อมูล : Rolling Stone, Hypebeast, GQTH, BBC และ Esquire