ยิ่งซึมเศร้ายิ่งต้องเข้าออฟฟิศ! ได้โฟกัสงาน พบปะผู้คน ช่วยลดความหดหู่ใจ

ยิ่งซึมเศร้ายิ่งต้องเข้าออฟฟิศ! ได้โฟกัสงาน พบปะผู้คน ช่วยลดความหดหู่ใจ

ยิ่งรู้สึกกังวล-ซึมเศร้า ยิ่งต้องออกไปทำงาน! เมื่อการได้พบปะผู้คน มีกิจกรรมให้ทำ มีรายได้พึ่งพาตนเองได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดผลกระทบเชิงลบต่อจิตใจได้ในระยะยาว

KEY

POINTS

  • วัยทำงานยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นซีอีโอหรือพนักงาน ต่างก็ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัญหาสุขภาพจิตที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มอาการที่พบบ่อยคือ “ภาวะซึมเศร้า” และ “ภาวะวิตกกังวล”
  • พนักงานที่มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล พวกเขามักรู้สึกโดดเดี่ยว แยกตัวออกจากสังคม จนกลายเป็นโรคกลัวสังคมไปในที่สุด แต่ยิ่งไม่ไปทำงาน ไม่พบเจอผู้คน ก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านั้นแย่ลงกว่าเดิม 
  • การออกไปทำงาน (เข้าสังคมการทำงาน) เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิต ในแง่ของการช่วยให้ชีวิตมีระเบียบ มีกิจกรรมให้ทำ มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับผู้อื่น และมีรายได้ ซึ่งทำให้เราพึ่งพาตนเองได้ ลดความรู้สึกเชิงลบได้

 

รู้หรือไม่? วัยทำงานที่อยู่ในภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า มักจะมีพฤติกรรมหนึ่งที่เห็นชัดคือ อาการกลัวสังคม แยกตัวเองออกจากสังคม อาจเพราะพวกเขารู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง รวมถึงรู้สึกหดหู่และวิจารณ์ตัวเองในเชิงลบจนไม่อยากพบเจอผู้คน นำมาสู่การขาดงาน-ลางานบ่อยเป็นประจำ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่ลดน้อยลงตามไปด้วย

ประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงในโลกการทำงานหลายครั้ง และก่อนหน้านี้ก็มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ตรงกันว่า หากนายจ้างไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพจิตให้พนักงาน ก็อาจส่งผลให้ผลิตผลของบริษัทตกต่ำลง ล่าสุด.. มีรายงานผลการศึกษาใหม่จากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด ที่ตีพิมพ์ใน Psychiatric Research & Clinical Practice ยืนยันประเด็นนี้เช่นกัน โดยผลการวิจัยพบว่า ผู้ใหญ่วัยทำงานที่มีความวิตกกังวลทางสังคมและภาวะซึมเศร้า มีแนวโน้มที่จะ “ทำงานได้น้อยชั่วโมงกว่าคนทั่วไป”

ยิ่งแยกตัวออกจากสังคมทำงาน อาจยิ่งทำให้สุขภาพจิตแย่ลงกว่าเดิม

นาตาลี ดาติลโล (Natalie Datillo) นักจิตวิทยาคลินิกและอาจารย์ที่โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด อธิบายภาพรวมของสุขภาพจิตวัยทำงานยุคนี้ว่า ทั้งซีอีโอและพนักงานต่างก็ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัญหาสุขภาพจิตที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มอาการที่พบบ่อยคือ “ภาวะซึมเศร้า” และ “ภาวะวิตกกังวล” แม้ทั้งสองอาการนี้มีลักษณะและรูปแบบที่แตกต่างกันในรายละเอียด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยว แยกตัวออกจากสังคม

ทั้งนี้ในขั้นตอนการศึกษานั้น นักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใหญ่วัยทำงาน 250 คน ที่มีอายุระหว่าง 18-60 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “โรคกลัวสังคม” แล้วติดตามการทำงานของพวกเขาในช่วงเวลา 52 สัปดาห์ เพื่อศึกษาถึงจำนวนชั่วโมงการทำงานของกลุ่มตัวอย่างแต่ละคน และบันทึกอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า แล้วจากนั้นดูว่าสภาพจิตใจของพวกเขาสามารถทำนายจำนวนชั่วโมงทำงานได้หรือไม่

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นโรคกลัวสังคมซึ่งมีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้านั้น พวกเขามักจะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมในที่ทำงาน จึงมีชั่วโมงการทำงานได้น้อยชั่วโมงกว่าพนักงานทั่วไป ทั้งนี้ นักวิจัยเน้นย้ำด้วยว่า การแยกตัวออกจากสังคมการทำงานอาจยิ่งทำให้ปัญหาสุขภาพจิตที่มีอยู่แย่ลงกว่าเดิม 

“การหลีกเลี่ยงการเข้าออฟฟิศ ยิ่งจะทำให้ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า-วิตกกังวลรู้สึกโดดเดี่ยวและถอนตัวออกจากสังคมมากขึ้น รวมทั้งยังทำให้ขาดโอกาสที่จะมีประสบการณ์ที่ช่วยเสริมแรงในเชิงบวก พูดง่ายๆ คือ การพาตัวเองออกมาเจอสังคมเป็นวิธีที่ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น และลดผลกระทบเชิงลบต่อจิตใจได้” นักจิตวิทยาคลินิก อธิบาย  

บรรยากาศที่ทำงานช่วยปกป้องสุขภาพจิตบางประการได้

“การทำงานมีผลดีต่อสุขภาพจิตโดยตรง เมื่อมองในภาพรวมจะพบว่า การทำงานเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิตในแง่ของการช่วยให้ชีวิตมีระเบียบ มีกิจกรรมให้ทำ มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับผู้อื่น และที่สำคัญคือ มีรายได้ ซึ่งทำให้เราพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระคนอื่น” ดาติลโลเล่าข้อดีเพิ่มเติม

เธอเน้นย้ำว่า ยิ่งวัยทำงานออกไปสถานที่ทำงานน้อยลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะจมอยู่ความรู้สึกแย่มากขึ้นเท่านั้น เป็นการปิดกั้นตนเองจากบรรยากาศที่ดีต่อสุขภาพจิตใจ บรรยากาศในที่ทำงานช่วยเยียวยาจิตใจได้ในแง่หนึ่ง เพราะทำให้เรายุ่งอยู่กับงาน โฟกัสกับงาน จึงลดอาการฟุ่งซ่านหรือความคิดเชิงลบต่างๆ ลงได้

วัยทำงานที่กำลังต่อสู้กับอาการวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า อาจพบว่าการงัดตัวเองออกไปทำงานนั้นเป็นเรื่องยากและท้าทาย รวมถึงการนำเสนองานในห้องประชุม และการโต้ตอบกับเพื่อนร่วมงาน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณพาตัวเองไปถึงที่ทำงานได้ คุณก็จะพบว่าตัวเองทำงานได้สำเร็จเหมือนคนอื่นทุกอย่าง และกิจกรรมเหล่านั้นก็ไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบใดๆ แถมช่วยลดความคิดฟุ้งซ่านได้

บริษัทควรใส่ใจดูแลปัญหาสุขภาพจิตให้แก่พนักงาน ได้ผลดีต่อบริษัทมากกว่าผลเสีย

“ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อคนเราทำงานและกิจกรรมต่างๆ ของวันนั้นๆ ได้สำเร็จ ก็จะรู้สึกดีตามมา (รู้สึกประสบความสำเร็จ) แล้วก็จบภารกิจวันนั้นไป แต่สำหรับผู้ที่ต่อสู้กับภาวะวิตกกังวล พวกเขาจะไม่รู้สึกดีขึ้น พวกเขามักจะใช้เวลาที่เหลือของวันไปกับการคิดมากเกินไปครุ่นคิด หรือหมกมุ่นอยู่กับว่าตนเองทำงานนี้ออกมาได้ดีไหม? คนอื่นคิดกับตนเองอย่างไร?” 

นักจิตวิทยาคลินิกบอกอีกว่า หากพวกเขารู้สึกหดหู่ ก็อาจเกิดการวิจารณ์ตัวเองอย่างรุนแรงตามมาได้เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้พวกเขากลับบ้านเร็ว โทรไปลาป่วย และแยกตัวอยู่คนเดียวมากขึ้น ที่แปลกคือ ยิ่งพวกเขาหลีกเลี่ยงการออกมาทำงานมากเท่าไร อาการวิตกกังวลและซึมเศร้าของพวกเขาก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น ทางที่ดีควรจะพาตัวเองออกมาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการทำงาน เพื่อช่วยฝึกการโฟกัสและขจัดความรู้สึกเชิงลบ 

อย่างไรก็ตาม นายจ้างหรือบริษัทเองก็ควรใส่ใจต่อปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานมากขึ้น บริษัทอาจจัดให้มีโปรแกรมการดูแลสุขภาพใจในที่ทำงาน เพื่อเอื้อให้พนักงานที่มีปัญหาสุขภาพใจได้มีพื้นที่ปลอดภัยในการสื่อสารพูดคุย กระตุ้นให้พวกเขามีส่วนร่วมในงานมากขึ้น ซึ่งมีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ชัดว่า การที่พนักงานมีส่วนร่วมมากขึ้น จะช่วยเพิ่มผลกำไรและช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายได้