นักไล่ล่าความสำเร็จที่ไม่เคยเติมเต็ม | Leading For Future

นักไล่ล่าความสำเร็จที่ไม่เคยเติมเต็ม | Leading For Future

บางคนประสบความสำเร็จในทุกมาตรฐานที่สังคมยอมรับ แต่ยังคงรู้สึกขาดการเชื่อมโยงกับงาน ชีวิต และตัวตนของตนเอง นั่นอาจเป็นเพราะระบบที่เราใช้วัด “ความสำเร็จ” กำลังล้มเหลว

เคยกล่าวไว้ว่า “วิธีที่เราใช้ชีวิตในแต่ละวัน ก็คือวิธีที่เราใช้ชีวิตทั้งหมดของเรา” แล้วทำไมฉันถึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัย 20 ของฉันไปกับความกลัวต่ออนาคตที่ยาวไกล? หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ฉันย้ายไปนิวยอร์กเพื่อทำงานที่ Google แต่กลับต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ มั่งมีศรีสุข เฮงๆ รวยๆ ขอให้สำเร็จสมดั่งใจหมาย

ในชีวิตการทำงานของดิฉันได้พบผู้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อสังเกตว่าผู้คนมากมายที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็กำลังต่อสู้กับความรู้สึกว่างเปล่า ซึ่งฉันพยายามหาคำศัพท์มาอธิบายปรากฏการณ์นี้ แต่ไม่มีคำใดที่เหมาะสมจนได้มีโอกาสอ่านบทความของแอนนี่ ดิลลาร์ด นักเขียนท่านหนึ่งได้บัญญัติคำว่า "Underfulfilled Overachiever" หรือ “นักไล่ล่าความสำเร็จที่ไม่เคยเติมเต็ม” คำนี้หมายถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จในทุกมาตรฐานที่สังคมยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน สถานะทางสังคมและความก้าวหน้าในอาชีพ แต่กลับรู้สึกขาดการเชื่อมโยงกับงาน ชีวิต และตัวตนของตนเอง

คนเหล่านี้มองความสำเร็จเป็นหลักในการดำเนินชีวิต พวกเขาภูมิใจในวัฒนธรรมการทำงานหนัก ที่ให้ค่ากับความยุ่งเหยิงและความสำเร็จที่วัดจากการอุทิศตนให้กับงาน การมีอาชีพเสริมคือเครื่องหมายแห่งเกียรติยศ และการทำเกินกว่าหน้าที่เป็นเรื่องปกติ เป้าหมายหลักในชีวิตของพวกเขาคือ “ความสำเร็จ” โดยไม่มีการตั้งคำถามว่ามันเชื่อมโยงกับอะไรในชีวิต

ตั้งแต่วัยเด็ก เราถูกปลูกฝังให้มองว่า “นักเรียนที่ดี” หมายถึงการได้เกรดสูง ไม่ใช่การเป็นคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นหรือมีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ระบบการศึกษาออกแบบมาเพื่อส่งเสริม “ประสิทธิภาพ” ซึ่งนำไปสู่คำถามหลักในแต่ละวันว่า "วันนี้ฉันจะทำให้ตัวเองมีประสิทธิภาพมากที่สุดได้อย่างไร?

แต่การ “ดูเหมือน” ประสบความสำเร็จ กับการ “รู้สึกเติมเต็ม” เป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

การเป็น CEO การมีครอบครัว หรือการมีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรู้สึกสมบูรณ์ทางอารมณ์ แล้วทำไมอัตราภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลถึงเพิ่มสูงขึ้น? เหตุใดคนรุ่นใหม่กว่า 50% รายงานว่าตนเองมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล? เหตุใด 84% รายงานว่าพวกเขารู้สึกหมดไฟ? เห็นได้ชัดว่าระบบที่เราใช้วัด “ความสำเร็จ” กำลังล้มเหลว

ทำไมแนวคิดความสำเร็จแบบเดิมถึงไม่เพียงพอ

แม้ว่าผู้นำส่วนใหญ่มักมองหาความสุขและความหมายในอาชีพของตน แต่แนวคิดทั้งสองนี้ก็มีข้อจำกัดของตัวเอง ความสุขมักขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และไม่ได้ยั่งยืน ในขณะที่การแสวงหาความหมายอาจนำไปสู่กรอบความคิดที่แข็งตัว ทำให้บางครั้งพลาดโอกาสในการเติบโตและเรียนรู้

ในทางกลับกัน การแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ท้าทายและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ จะช่วยให้ผู้นำพัฒนาทักษะในการรับมือกับความซับซ้อนและความไม่แน่นอนได้ดีขึ้น

แนวทางใหม่ในการเป็นผู้นำที่สร้างการเติบโตและแรงบันดาลใจ

เพื่อปรับแนวคิดนี้ให้เข้ากับการบริหารองค์กร ผู้นำสามารถนำหลักการต่อไปนี้ไปประยุกต์ใช้

1. เปิดโอกาสให้ทีมงานได้สำรวจและทดลองสิ่งใหม่ๆ – ให้พนักงานได้มีโอกาสทำโปรเจกต์ที่แตกต่างจากเดิม ได้ร่วมงานกับทีมใหม่ๆ หรือได้รับมอบหมายงานที่ท้าทาย ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามองเห็นมุมมองที่หลากหลายและเกิดนวัตกรรม

2. ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง – ผู้นำที่เปิดรับการเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะผ่านการศึกษาอย่างเป็นทางการ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือการสำรวจอุตสาหกรรมใหม่ๆ จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมงานมีแนวคิดเดียวกัน

3. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทดลองและนวัตกรรม – องค์กรที่ส่งเสริมให้พนักงานกล้าลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว จะช่วยให้เกิดการคิดค้นแนวทางใหม่ๆ และนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

4. มองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้ – การเปลี่ยนมุมมองจาก “ความล้มเหลว” เป็น “บทเรียน” จะช่วยให้ทีมงานพัฒนาและปรับตัวได้เร็วขึ้น ลดความกลัวต่อการทำผิดพลาด

5. ปลูกฝังความอยากรู้อยากเห็น – การเปิดกว้างให้พนักงานตั้งคำถามต่อแนวปฏิบัติเดิมๆ และสนับสนุนให้พวกเขามองหาแนวทางใหม่ๆ จะช่วยให้องค์กรก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง

อนาคตของความสำเร็จในบทบาทผู้นำ

เมื่อโลกของการทำงานเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตและการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่หลากหลาย จะสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นใจ ความสำเร็จไม่ได้วัดจากแค่ผลกำไรหรือตำแหน่งงานอีกต่อไป แต่เป็นความสามารถในการสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนา คิดค้นนวัตกรรม และสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานเติบโตไปพร้อมกัน

โดยการเปลี่ยนมุมมองจากความสำเร็จที่ยึดติดกับตัวเลข มาเป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงการพัฒนาตัวเองและองค์กร ผู้นำจะสามารถค้นพบความสมบูรณ์ของชีวิตในการทำงาน และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายต่อองค์กรและสังคมได้อย่างแท้จริง