ทำงานที่เดิม 30 ปีแต่ไม่เบื่อ ผู้บริหาร L'Oreal เผย ต้องเห็นคุณค่าในงานตนเอง

ทำงานที่เดิม 30 ปีแต่ไม่เบื่อ ผู้บริหาร L'Oreal เผย ต้องเห็นคุณค่าในงานตนเอง

วิสเมย์ ชาร์มา ผู้บริหาร L'Oreal ผู้ทำงานที่เดิมมา 30 ปีแต่ไม่เบื่องาน เขาเผยว่ายังสนุกกับงานเพราะมีแรงจูงใจในการทำงานในระยะยาว ซึ่งสำหรับเขาคือการเห็นคุณค่าในงานของตนเองทุกๆ วัน

KEY

POINTS

  • “วิสเมย์ ชาร์มา” ประธานตลาดเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือของบริษัทลอรีอัล ผู้ซึ่งทำงานที่เดิมมานาน 30 ปีโดยไม่ลาออก
  • แรงบันดาลใจในการทำงานของเขาคือ การมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน เขามองว่าการมีเป้าหมายในงาน คือแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • เขาค้นพบว่า การเปิดโอกาสให้พนักงานมาสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันจะมีพลังมากกว่า พนักงานจะความมุ่งมั่น มีส่วนร่วมในงานมากขึ้น นั่นอาจเป็นพื้นฐานให้พนักงานมองเห็นคุณค่าในงานของพวกเขา

เชื่อว่าคงมีวัยทำงานช่วงต้นและช่วงวัยกลางคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มเบื่องาน มีภาวะเบิร์นเอาท์ และอาจสงสัยว่ารุ่นพี่หรือผู้นำรุ่นใหญ่หลายคนที่ทำงานที่เดิมได้ยาวนาน 20-30 ปีจนเกษียณอายุนั้น พวกเขามีแรงบันดาลใจอย่างไร ให้สามารถยังมีไฟในการทำงานได้ยาวนานเป็นสิบๆ ปี 

หนึ่งในบุคคลที่ตอบคำถามนี้ได้ก็คือ “วิสเมย์ ชาร์มา” ผู้บริหารบริษัท L'Oreal วัย 53 ปี (เกิดปี ค.ศ.1971) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานตลาดเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ หรือเรียกรวมๆ กันว่าภูมิภาค SAPMENA ซึ่งหากดูประวัติและอายุงานของเขาตั้งแต่เริ่มต้นทำงานจนถึงตอนนี้พบว่า เขาทำงานที่เดิมมานานถึง 30 ปีโดยไม่ลาออกหรือเปลี่ยนงานที่ใหม่

การมีเป้าหมายในงาน คือแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และแรงจูงใจทำให้มองเห็นคุณค่าในงานของตนเอง

เขาแรงบันดาลใจในการทำงานอย่างไร? ชาร์มาตอบคำถามนี้ผ่านคอลัมน์ My Biggest Lessons ของสำนักข่าว CNBC ไว้ว่า แม้ว่าจะทำงานกับบริษัทเดิมมานานถึง 30 ปีแล้วแต่เขาก็ยังคงสนุกกับงานของเขาอยู่ เนื่องจากเขามีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน เขามองว่าการค้นหาเป้าหมายในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ และการมีเป้าหมายในงาน คือแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

“ผมทำงานในอุตสาหกรรมความงามและผมก็ชอบงานนี้ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่นำความสุข ความมั่นใจในตนเอง และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ชีวิตของผู้คนในทุกๆ วัน” ชาร์มา กล่าว

เขาเสริมอีกว่า แม้ว่าอัตราการเปลี่ยนผ่านของพนักงานในองค์กร (Turnover) ความสามารถในการทำกำไร และส่วนแบ่งการตลาด จะเป็นข้อกังวลที่สำคัญสำหรับงานบริหารของทุกๆ องค์กร แต่นอกเหนือจากเป้าหมายงานขององค์กรแล้ว วัยทำงานควรมองหาเป้าหมายและ “แรงจูงใจในระยะยาวที่แท้จริง” ของตนเองด้วย ทั้งนี้แรงจูงใจสำหรับตัวเขาคือ การเห็นคุณค่าในงานของตนเองในแต่ละวัน  

การทำงานด้านชุมชนและสิ่งแวดล้อม ทำให้รู้สึกว่างานของตนเองมีคุณค่า

ชาร์มายกตัวอย่างแง่มุมที่คุ้มค่าและมีคุณค่าที่สุดอย่างหนึ่งในงานที่ทำอยู่ก็คือ การรู้สึกว่างานของตนเองนั้นเปี่ยมไปด้วยศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ เช่น การสร้างโอกาสในการจ้างงานในชุมชน การลดการใช้น้ำในภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำ และการเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการต่างๆ ในบริษัท 

“L'Oreal มีโครงการมากมายที่ดำเนินอยู่ทั่วภูมิภาค SAPMENA ที่สร้างทักษะและโอกาสในการจ้างงานให้กับผู้คนเกือบ 30,000 คน อีกทั้งมีการดำเนินงานด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่แถบนี้ให้พลิกฟื้นขึ้นมาใหม่ เช่น โครงการดูแลแนวปะการังในออสเตรเลีย โครงการรักษาป่าชายเลนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ 

อีกทั้งบริษัทมีส่วนช่วยลดการใช้น้ำในร้านเสริมสวยในแถบประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำมากเมื่อปลายปีที่แล้ว รวมถึงใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ค่อนข้างมาก” เขาอธิบาย ซึ่งงานในส่วนของการดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมนี่เอง ที่ทำให้เขาค้นพบแรงจูงใจในการทำงานระยะยาว

นอกจากนี้ ชาร์มา ยังได้แชร์วิธีการบริหารงานในฐานะ “ผู้นำ” องค์กรระดับโลกอย่าง L'Oreal รวมถึงคำแนะนำดีๆ จากบทเรียนของเขาเอง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้นำคนรุ่นใหม่ที่กำลังประสบปัญหาในการทำงานหรืออยากได้เทคนิคในการบริหารงาน ดังนี้ 

1. สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันและมุ่งมั่นกับมัน

ผู้นำจำนวนมากชอบสร้างวิสัยทัศน์ของตนเองแล้วถ่ายทอดมันออกไปทั่วทั้งองค์กร แต่จากประสบการณ์ของชาร์มา เขาค้นพบว่า การนำทีมมารวมกันและสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันจะมีพลังมากกว่า พนักงานจะรู้สึกลึกซึ้งกับวิสัยทัศน์มากขึ้น และแน่นอนว่าพวกเขาจะมีความมุ่งมั่นมากขึ้น เพราะมันเป็นวิสัยทัศน์ที่มาจากพวกเขาเอง 

ยกตัวอย่างในช่วงที่ชาร์มารวมเอาหลายๆ ภูมิภาคมาไว้ด้วยกัน (เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ) และสร้างเป็น SAPMENA ของลอรีอัลขึ้นมา ไม่แปลกที่จะต้องรวมพนักงานจากหลากหลายประเทศมากถึง 13 โซนเวลามาอยู่ด้วยกัน ซึ่งยากมากที่ทุกคนจะเห็นด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาตัดสินใจทำคือ เขารวมรวมข้อมูลธุรกิจและรวบรวมทีมงานของลอรีอัลจากทุกประเทศเหล่านั้นมารวมกัน แล้วตั้งทีมส่วนกลางขึ้นมาในสิงคโปร์ จากนั้นให้ทุกคนมาสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน ผลที่ตามมาก็คือ มีพนักงานตอบรับเข้าร่วมในสาขาภูมิภาคนี้กว่า 7,000 คน และเป็นทีมที่มีความสามารถมากที่สุด 

แน่นอนว่าเมื่อคุณมีวิสัยทัศน์แล้ว การจะดำเนินงานให้เกิดผลได้ตามเป้าหมายนั้น คุณจะต้องเตรียมทรัพยากรเบื้องหลังและออกแบบกระบวนการทำงานให้พร้อมสรรพ เพื่อให้พนักงานสามารถดำเนินงานออกมาได้อย่างราบรื่นและสมบูรณ์แบบ เพราะวิสัยทัศน์ที่ขาดกระบวนการทำงาน ก็เป็นเพียงภาพหลอนที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง

2. สร้างความหลากหลายเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ 

โลกรอบตัวเรามีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ และมันโยนความท้าทายใหม่ๆ มาให้เราทุกวัน ดังนั้น เพื่อให้องค์กรสามารถรับมือกับมันได้ เราจำเป็นต้องนำประสบการณ์ที่หลากหลาย จากผู้คนที่มีสติปัญญาที่หลากหลายในภูมิหลังที่แตกต่างกันมารวมกัน เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดไดนามิกที่หลากหลายมากขึ้นจริงๆ แล้วบริษัทจะสามารถรับมือกับความท้าทายของโลกได้อย่างแข็งแกร่งขึ้นมาก 

ในภูมิภาค SAPMENA ของลอรีอัลมีผู้คนจาก 88 เชื้อชาติที่ทำงานด้วยกันทุกวัน แม้แต่ในคณะกรรมการบริหารของเราที่มีทั้งหมด 14 คน ก็มี 12 คนในนั้นที่มีสัญชาติแตกต่างกัน อีกทั้งมีพนักงานที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีอยู่มากมายหลายคน และมากกว่า 40% ของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำระดับสูงสุดก็เป็นผู้หญิง

"คุณคงจินตนาการออกว่าทุกครั้งที่เรามารวมตัวกัน เพื่อรับมือกับความท้าทายหรือแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น เราสามารถมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่แตกต่างกัน และคิดวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดได้ ผลลัพธ์คือ เราเป็นภูมิภาคที่เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับส่วนแบ่งการตลาดทุกปี" เขาบอก 

3. ความสามารถ (Talent) เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดเพื่อคว้าความสำเร็จ

ชาร์มาบอกว่าจากประสบการณ์ 30 ปี เขาพบกับความท้าทายทางธุรกิจมากมาย และไม่มีสักสิ่งเดียวที่เขาจะเอาชนะได้หากไม่มีทีมที่แข็งแกร่ง และทำงานด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา

“ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าทุกคนที่เข้ามาในองค์กรย่อมมีประสบการณ์และความสามารถที่จะนำคุณค่ามาสู่องค์กรได้ ความสำเร็จของผู้นำ มาจากการสร้างเงื่อนไขที่พนักงานสามารถนำสิ่งที่ดีที่สุดของตนเองออกมาให้เห็นผ่านงานที่ทำ พัฒนามันให้ก้าวไปข้างหน้า และส่งมอบคุณค่านี้ให้กับองค์กรได้อย่างแท้จริง ผมภูมิใจมากที่จะบอกว่าทุกคนในทีมโดยตรงของผม ทำงานได้ดีกว่าที่ผมจะสามารถทำได้ด้วยตัวผมเพียงคนเดียว และความสำเร็จของทีมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ การที่ผมสร้างกระบวนการทำงานที่เอื้อให้พวกเขาสามารถทำงานร่วมกันได้ดี เพื่อค้นหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมกับองค์กรมากที่สุด” เขาอธิบาย 

4. เตรียมพร้อมสำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

ผู้คนมักพูดกันว่าโลกรอบตัวเรากำลังเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่เคยเป็นมา ขณะที่ชาร์มากลับบอกว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเก่าไปแล้ว ไม่อัปเดตสำหรับเขาแล้ว เพราะองค์กรของเขาสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้เท่าทันโลก เขาบอกว่าที่ลอรีอัล มีการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในการฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร ทั้งการ UpSkills ReSkills เพื่อให้พนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นในโลกการทำงานยุคใหม่ 

เมื่อพูดถึงการตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ลอรีอัลถือเป็นหนึ่งในผู้เคลื่อนไหวตามทันโลกได้รวดเร็วที่สุด และในปัจจุบันรายได้เกือบ 30% ของบริษัทมาจากอีคอมเมิร์ซ พูดได้ว่าลอรีอัลเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการตลาดดิจิทัลของสินค้าความงาม ทั้งนี้ การปฏิวัติครั้งใหญ่ครั้งต่อไปที่ L'Oreal ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วด้วยปัญญาประดิษฐ์ และตอนนี้บริษัทกำลังใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านสื่อใหม่และสร้างเนื้อหาเผยแพร่ออกไปในวงกว้างเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

ทั้งหมดนี้คือมุมมองในโลกการทำงานและหลักการการบริหารงานของผู้นำอย่าง วิสเมย์ ชาร์มา เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ประโยชน์และสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานของตนเองได้