ศึกตัดสินแชมป์คาราบาว คัพ สิงห์บลูส์จะล้างตาหรือหงส์แดงจะย้ำแค้น

ดูบอลสดวันนี้ 'เชลซี พบ ลิเวอร์พูล' คาราบาวคัพ 2023/24 นัดชิงชนะเลิศ

ดูบอลสดวันนี้ "เชลซี" ที่จะลงสนามพบกับ "ลิเวอร์พูล" ในศึกคาราบาวคัพ 2023-24 นัดชิงชนะเลิศ วันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ. นี้ 22.00 น.

Key Points

• สำหรับเครื่องดื่มคาราบาวแล้วงบประมาณในการเข้ามาสนับสนุนฟุตบอลรายการนี้ตามรายงานข่าวจากประเทศอังกฤษอยู่ที่ปีละ 6 ล้านปอนด์หรือราว 272 ล้านบาทด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในแง่ของการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ เพราะข้อมูลเมื่อปี 2021 ระบุว่ารายการฟุตบอลนี้มีผู้ชมใน 181 ประเทศทั่วโลก มีผู้ชมกว่าปีละ 103.4 ล้านคน ซึ่งตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี

• ปัญหาตอนนี้คือสภาพทีมของ ลิเวอร์พูล มีปัญหาเรื่องของตัวผู้เล่นบาดเจ็บล้นทีม ไม่ว่าจะเป็นอลีซง (แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลักสำหรับรายการนี้ก็ตาม), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอลมาทิป, ติอาโก อัลคันตารา, โดมินิก โซโบสไล, เคอร์ติส โจนส์, สเตฟาน บายเซติช และดีโอโก โชตา โดยที่ยังไม่แน่ชัดว่าโมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับดาร์วิน นูนเยซ สองกองหน้าจะกลับมาได้หรือไม่ในเกมที่เวมบลีย์

• การได้กลับมาคุมทีมเชลซี เป็นโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งของโปเช็ตติโน ซึ่งแม้ที่ผ่านมาจะกระท่อนกระแท่นแต่ก็มีบางนัดโดยเฉพาะในเกมใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวางหมากที่ยอดเยี่ยม ซึ่งในเกมที่เวมบลีย์เชื่อได้เลยว่าจะมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อรับมือทีมของคล็อปป์แน่นอน

ค่ำคืนนี้แฟนฟุตบอลอังกฤษจะได้ชมการตัดสินแชมป์ถ้วยแรกของฤดูกาล 2023-24 ในรายการอีเอฟแอล คัพ หรือ "คาราบาว คัพ" ที่จะเป็นการหวนกลับมาพบกันอีกครั้งของคู่ชิงชนะเลิศเมื่อ 2ปีที่แล้วอย่าง "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี และ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล

การกลับมาพบกันครั้งนี้ หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก แต่ละทีมมีปมและเงื่อนไขในใจที่แตกต่างกัน แต่ก็มีเป้าหมายเดียวกันคือการคว้าแชมป์ถ้วยใบเล็กของฟุตบอลเมืองผู้ดีมาครองให้ได้ก่อน

แต่ใครกันที่จะได้ฉลองชัยชนะที่สนามเวมบลีย์คืนนี้?

ศึกตัดสินแชมป์คาราบาว คัพ สิงห์บลูส์จะล้างตาหรือหงส์แดงจะย้ำแค้น

จากถ้วยมิคกี้เมาส์ถึง "คาราบาว คัพ"

ก่อนจะว่าถึงเรื่องราวของทั้งสองทีม สิ่งที่น่าสนใจไม่ได้แพ้กัน คือ ความนิยมและความสำคัญของถ้วยใบเล็กอย่างอีเอฟแอล คัพ (หรือที่คนอังกฤษจะเรียกกันสั้นๆว่าลีก คัพ) ที่เริ่มกลับมาในช่วงหลัง

ปัญหาความตกต่ำในเรื่องความนิยมของถ้วยใบนี้เคยเป็นประเด็นใหญ่ของวงการฟุตบอลเมืองผู้ดี ที่ตั้งคำถามถึงเรื่องความเหมาะสมสำหรับรายการเก่าแก่ที่เริ่มแข่งขันกันมาเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1960-61 ในชื่อดั้งเดิมคือฟุตบอล ลีก คัพ 

จุดเริ่มต้นของรายการนี้เกิดขึ้นจากการที่ในวงการฟุตบอลยุโรปมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีรายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรระดับทวีปถือกำเนิดขึ้นทำให้วงการฟุตบอลอังกฤษต้องการที่จะรักษาความนิยมของการแข่งขันรายการภายในประเทศ

ฟุตบอลลีก คัพ จึงเกิดขึ้นมาโดยให้ทำการแข่งขันในช่วงกลางสัปดาห์ เพราะสุดสัปดาห์จะเป็นเกมฟุตบอลลีกปกติ และทัวร์นาเมนต์จะเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นของฤดูกาลเลย แต่จะจบเร็วกว่าคือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น เพื่อให้น้ำหนักความสำคัญในช่วงท้ายฤดูกาลไปอยู่ที่ลีกภายในประเทศ และฟุตบอลเอฟเอ คัพ ที่มีความเก่าแก่และสำคัญกว่า

ในช่วงแรกนั้นฟุตบอลลีก คัพไม่ได้เป็นตัวปัญหาแต่อย่างใด แต่เริ่มถูกลดทอนความสำคัญในช่วงปลายยุค 90 ต่อมิลเลนเนียมที่บรรดาทีมใหญ่เริ่มมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญเหมือนเดิม กลายเป็นรายการที่จะส่งนักฟุตบอลตัวสำรองหรือดาวรุ่งจากทีมเยาวชนลงสนาม คุณภาพของเกมการแข่งขันก็ลดลงตามไปด้วย

หนักกว่านั้นถึงขั้นถูกเรียกว่าเป็น "ถ้วยมิคกี้เมาส์" เลยทีเดียว

ศึกตัดสินแชมป์คาราบาว คัพ สิงห์บลูส์จะล้างตาหรือหงส์แดงจะย้ำแค้น

เพียงแต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูรายการนี้เริ่มกลับมาสนุกและมีสีสันมากยิ่งขึ้น โดยในช่วง 10 ปีหลังสุดทีมใหญ่เริ่มกลับมาใส่ใจและมองเห็นคุณค่าของรายการนี้ในฐานะแชมป์ที่จะเป็นตัวจุดประกายไฟให้ทีม โดยเฉพาะทีมที่กลายเป็นมหาอำนาจอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่กวาดแชมป์รายการนี้ไปครองถึง 6 สมัยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

เรื่องสีสันของรายการก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับเช่นกัน โดยเฉพาะนับจากที่ "คาราบาว" ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มให้พลังงานจากประเทศไทยเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนตั้งแต่ปี 2017 และเปลี่ยนชื่อรายการเป็น "คาราบาว คัพ" (ฟุตบอลลีก คัพ เป็นรายการที่จะเปลี่ยนชื่อตามผู้สนับสนุน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 1981หลัง​ "มิลค์" เข้ามาสนับสนุนจนเรียกว่า "มิลค์​ คัพ") ซึ่งเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นจากแฟนฟุตบอล

โดยที่สำหรับเครื่องดื่มคาราบาวแล้วงบประมาณในการเข้ามาสนับสนุนฟุตบอลรายการนี้ตามรายงานข่าวจากประเทศอังกฤษอยู่ที่ปีละ 6 ล้านปอนด์หรือราว 272 ล้านบาทด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในแง่ของการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ เพราะข้อมูลเมื่อปี 2021 ระบุว่ารายการฟุตบอลนี้มีผู้ชมใน 181 ประเทศทั่วโลก มีผู้ชมกว่าปีละ 103.4 ล้านคน ซึ่งตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี

นั่นทำให้มีการตกลงการขยายสัญญาจากเดิมออกไปอีก 3 ปี จากเดิมสัญญาจะหมดในปี 2024ตอนนี้คาราบาว คัพ จะอยู่จนถึงปี 2027 ซึ่งจะครบ 10 ปีเต็ม กลายเป็นผู้สนับสนุนที่ยืนยาวที่สุดสำหรับรายการนี้ด้วย ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือการสนับสนุนครั้งนี้ยังเป็นการต่อลมหายใจให้แก่ทีมฟุตบอลเล็กๆในระดับลีกรองของอังกฤษ ที่หวังพึ่งรายได้เสริมจากเงินรางวัลและค่าลิขสิทธิ์ที่อาจจะไม่มากสำหรับทีมใหญ่ แต่มีความหมายเท่าหัวใจสำหรับทีมเล็ก

ศึกตัดสินแชมป์คาราบาว คัพ สิงห์บลูส์จะล้างตาหรือหงส์แดงจะย้ำแค้น

การกลับมาพบกันของคู่ชิง 2022

สำหรับคู่ชิงในปีนี้ เป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งของคู่ชิงในฤดูกาล 2021-22 ซึ่งในปีนั้นเกมจบลงด้วยการเสมอกันในเวลา 120 นาทีของเชลซีและลิเวอร์พูล ทำให้ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ

และการดวลจุดโทษในปีนั้นก็บีบหัวใจอย่างมากเพราะทั้งสองทีมยิงกันไม่พลาดเลย จนกระทั่งต้องถึงคิวผู้รักษาประตูทั้งสองทีมมายิงกันเอง ปรากฏว่า ควีวิน เคลเลเฮอร์ ประตูมือสองของลิเวอร์พูลที่จะได้โอกาสลงเล่นในรายการนี้แทนอลีซง เบ็คเกอร์ นายทวารมือหนึ่งยิงเข้าไปอย่างเฉียบขาด และยังป้องกันลูกยิงของเกปา อาร์ริซาบาลากา ประตูของเชลซีได้ ลิเวอร์พูลจึงได้แชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ก่อนจะเดินหน้าล่า 4แชมป์ต่อ

ปีนี้ ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในเส้นทางของการล่า 4 แชมป์เช่นกัน แม้ว่าน้ำหนักจะไม่เท่ากับเมื่อ 2 ปีที่แล้วเพราะไม่ได้อยู่ในรายการยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก แต่เพราะฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายก่อนที่เจอร์เกน คล็อปป์ ยอดผู้จัดการทีมจะอำลาทำให้ทั้งนักเตะและแฟนบอลเองก็ต้องการคว้าแชมป์ให้ได้มากที่สุดก่อนจะบอกลากุนซือที่ดีที่สุดคนหนึ่งของสโมสร

ปัญหาตอนนี้คือ สภาพทีมของลิเวอร์พูลมีปัญหาเรื่องของตัวผู้เล่นบาดเจ็บล้นทีม ไม่ว่าจะเป็นอลีซง (แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลักสำหรับรายการนี้ก็ตาม), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอลมาทิป, ติอาโก อัลคันตารา, โดมินิก โซโบสไล, เคอร์ติส โจนส์, สเตฟาน บายเซติช และดีโอโก โชตา โดยที่ยังไม่แน่ชัดว่าโมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับดาร์วิน นูนเยซ สองกองหน้าจะกลับมาได้หรือไม่ในเกมที่เวมบลีย์

แม้ว่าลิเวอร์พูลจะเอาชนะลูตัน ทาวน์ได้อย่างน่าประทับใจในเกมกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (โดยที่ไม่มีตัวเจ็บอีก) แต่เชลซีเป็นทีมที่ดีกว่ามาก และพิสูจน์ให้เห็นในเกมที่เล่นเอาแมนเชสเตอร์ ซิตีเกือบ "คาบ้าน" เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าทีมของเมาริซิโอ​​ โปเช็ตติโนมีของพอสมควร

ไม่เพียงแต่แนวรุกที่ปราดเปรียวด้วยความเร็วของนิโคลัส แจ็คสัน และราฮีม สเตอร์ลิง อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของเชลซีคือกองหน้าดาวรุ่งอย่างโคล พาลเมอร์ ที่กลายเป็นเพลย์เมคเกอร์ที่สร้างสรรค์เกมได้อย่างน่าอัศจรรย์ บอลที่ออกจากเท้าซ้ายของอดีตดาวรุ่งแมนฯ ซิตี สามารถฉีกแนวรับคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายเสมอ

ในเกมรับอักเซล ดิซาซี ปราการหลังร่างยักษ์ยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นกำแพงสีน้ำเงินที่ไม่ยอมให้ใครผ่านไปได้ง่ายๆเช่นกัน และในภาพรวมแล้วเกมรับของเชลซีดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมาพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการพบกันครั้งล่าสุดระหว่างทั้งสองทีม ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายถล่มเชลซีย่อยยับ 4-1 ในเกมที่ "หงส์แดง" เล่นได้ร้อนแรงที่สุดนัดหนึ่งในฤดูกาลนี้

และอีกจุดที่ถูกจับจ้องคือการดวลกันของแดนกลาง ระหว่างวาตารุ เอ็นโด, อเล็กซิส แม็คคัลลิสเตอร์ และไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่จะวัดกับกองกลางค่าตัวแพงอย่างมอยเซส ไคเซโด และเอ็นโซ เฟอร์นันเดส รวมถึงคอเนอร์ กัลลาเกอร์ห้องเครื่องสายเลือดแท้ของเชลซี 

พื้นที่ตรงนี้ใครชนะ ทีมมีโอกาสได้ชัยสูง

ศึกตัดสินแชมป์คาราบาว คัพ สิงห์บลูส์จะล้างตาหรือหงส์แดงจะย้ำแค้น

ระหว่างคล็อปป์กับโปเช็ตติโน

อีกจุดที่น่าสนใจสำหรับเกมนัดชิงคืนนี้คือการที่คล็อปป์ จะได้โคจรกลับมาพบกับโปเช็ตติโนอีกครั้ง

ทั้งสองไม่ได้มีกรณีปัญหาคาใจใดๆต่อกัน แต่เคยมีความหลังที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของทั้งสองคนในเกมนัดชิงชนะเลิศยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก ในปี 2019 ซึ่งปีนั้นลิเวอร์พูลเข้าชิงกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์พอดี ที่สนามเมโตรโปลิตาโน ของทีมแอตเลติโก มาดริด

ปรากฏว่าลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายที่เอาชนะไปได้ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์รายการแรกของคล็อปป์กับทีมด้วย หลังจากที่ผิดหวังในเกมนัดชิงชนะเลิศลีก คัพในปี 2016 ที่แพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี และในรายการยูเอฟา ยูโรปา ลีก ที่พ่ายต่อเซบียาที่บาเซิล

นับจากนั้นมาคล็อปป์พาลิเวอร์พูลกวาดแชมป์ได้ครบทุกถ้วยที่มี ทั้งเอฟเอ คัพ, ยูเอฟา ซูเปอร์ คัพ, ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก, คอมมิวนิตี ชิลด์ และรายการที่สำคัญที่สุดอย่างพรีเมียร์ลีก ที่แฟนเดอะ ค็อปรอคอยกันมากว่า 30 ปี ก่อนที่การรอคอยจะจบลงในฤดูกาล 2019-20 แม้จะน่าเศร้าเพราะเป็นช่วงโควิด-19 ระบาดหนักจนทำให้ไม่สามารถฉลองร่วมกันได้

โชคชะตานั้นตรงข้ามกับโปเช็ตติโน ที่เคยเป็นผู้จัดการทีมคนหนุ่มที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดว่าจะมีอนาคตที่ก้าวไกล หลังการแพ้ในนัดชิงเกมนั้นกุนซือชาวอาร์เจนตินา ได้คุมสเปอร์สต่ออีกไม่นานก่อนจะถูกปลดจากตำแหน่งเพราะทีมผลงานย่ำแย่ ก่อนจะได้โอกาสคุมทีมใหญ่อย่างปารีส แซงต์-แชร์แมง ที่แม้จะได้แชมป์ลีก เอิงแต่ผลงานก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับจนสุดท้ายก็โดนปลดจากตำแหน่งอีกอยู่ดี

การได้กลับมาคุมทีมเชลซีเป็นโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งของโปเช็ตติโน ซึ่งแม้ที่ผ่านมาจะกระท่อนกระแท่นแต่ก็มีบางนัดโดยเฉพาะในเกมใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวางหมากที่ยอดเยี่ยม ซึ่งในเกมที่เวมบลีย์เชื่อได้เลยว่าจะมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อรับมือทีมของคล็อปป์แน่นอน

โดยที่ก่อนเกมยังมีการเล่นเกมจิตวิทยาเล็กน้อย ด้วยการส่งข้อความถึงผู้ตัดสินว่าอย่าได้หลงเคลิ้มไปกับบรรยากาศการเตรียมอำลาของคล็อปป์ที่เป็นเรื่องโรแมนติกลูกหนัง ซึ่งแม้จะถูกมองว่าเป็นการพูดที่ไม่จำเป็น แต่ก็แสดงให้เห็นว่าโปเช็ตติโนใส่ใจทุกรายละเอียด

ในขณะที่คล็อปป์เองบอกว่าแม้จะต้องการได้ถ้วยแชมป์เหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการคว้ามันมาเพื่อตัวของเขาเอง

คล็อปป์ต้องการให้แชมป์นี้เป็นของทีม เป็นของนักเตะทุกคน เป็นของสตาฟฟ์ และเป็นของแฟนฟุตบอล

สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้สมหวังคงต้องรอติดตามชมกันในคืนนี้ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทาง Thairath TV (คลิกที่นี่) เริ่มตั้งแต่เวลา 21.30 น.

แถมท้ายให้เล็กน้อยว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของสำนักสถิติ OPTA วิเคราะห์ว่าโอกาสคว้าแชมป์ (ใน 90 นาที) ของลิเวอร์พูลสูงถึง 62.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เชลซีมีแค่ 17.7 เปอร์เซ็นต์

AI จะแม่นยำแค่ไหน คืนนี้รู้กัน!

 

 

ขอบคุณภาพประกอบจาก : Carabao Cup