ตกหลุมรัก ‘ความฉลาด’ !? เมื่อคนเราไม่ได้แคร์รูปร่างหน้าตาเสมอไป

ตกหลุมรัก ‘ความฉลาด’ !? เมื่อคนเราไม่ได้แคร์รูปร่างหน้าตาเสมอไป

นอกจากรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ใครบางคน “ตกหลุมรัก” กันและกัน อาจอยู่ที่ “ความฉลาด” หรือทัศนคติส่วนบุคคลได้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน “รสนิยมทางเพศ” ของมนุษย์

Key Points:

  • ความฉลาด หรือทัศนคติส่วนบุคคลที่ถูกใจ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนตกหลุมรักกันและกันได้ไม่แพ้ปัจจัยภายนอกอย่างรูปร่างหน้าตา 
  • รสนิยมลักษณะนี้เรียกว่า Sapiosexual แต่กว่าจะตกหลุมรักแบบนี้ได้ ต้องผ่านการศึกษาทัศนคติส่วนตัวของกันและกันก่อนในระดับหนึ่ง
  • บางคนแม้จะชอบคนที่มีความฉลาด แต่ไม่ได้หมายความจะยอมโดนดูถูกด้วยความมีอีโก้ของอีกฝ่าย

การที่จะตกหลุมรักใครสักคนนั้น บางคนอาจมองที่รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย บุคลิกภาพ หรือลักษณะภายนอกเป็นหลัก แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่า “ความฉลาด” และทัศนคติส่วนบุคคลบางอย่างเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ จนทำให้ตกหลุมรักได้เช่นกัน ซึ่งความชอบในลักษณะนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในรสนิยมทางเพศที่เรียกว่า Sapiosexual

สำหรับ “Sapiosexual” หรือ การตกหลุมรักใครสักคนที่ทัศนคติส่วนบุคคลหรือความฉลาด (ที่มีความเฉพาะเจาะจงกับบางคน) นั้น จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักกันนานพอสมควร ไม่ใช่ความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นแบบรักแรกพบ เพราะทัศนคติของแต่ละฝ่ายจะค่อยๆ แสดงออกมาหลังจากที่ได้ทำความรู้จักและพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมาแล้วในหลากหลายประเด็น

  • Sapiosexual เรียกว่าเป็นรสนิยมของคนฉลาดหรือไม่?

แม้ว่าจะยังไม่มีเหตุผล ทฤษฎี หรือ คำอธิบายที่แน่ชัดสำหรับคำว่า Sapiosexual แต่ในปี 1998 เคยมีการพูดถึงประเด็นนี้กันในโลกออนไลน์ โดยให้นิยามไว้ว่า เป็นความคลั่งไคล้ หลงใหลในบุคคลที่มีความคิดความอ่านที่ดี มีเหตุผล และสามารถถกเถียงกันได้ในหลายเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต สถานการณ์ปัจจุบัน เรื่องราวที่เป็นประเด็นเฉพาะ เช่น การเมือง การศึกษา เศรษฐกิจ เป็นต้น มากกว่าคนสวยหรือคนหล่อที่อาจจะคุยกันไม่รู้เรื่องและมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนทัศนคติกันและกันได้นั่นเอง

ไม่ว่าคำนิยามที่แท้จริงของ “Sapiosexual” จะเป็นอย่างไร แต่จากข้อมูลของ Vice ที่ได้สอบถามผู้คนที่นิยามตัวเองว่าตกหลุมรักคนจากความฉลาดนั้น สามารถสรุปได้โดยรวมว่า ส่วนมากแล้วพวกเขาจะชอบคนที่มีความฉลาดทางความคิด และมีทัศนคติที่ดี

อีกทั้งไม่อยากคบหาหรือมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับคนที่พวกเขาเชื่อว่ามีความคิดในเรื่องต่างๆ ที่น้อยกว่าตนเองหรือเป็นคนที่ไม่เท่าทันคนอื่น นอกจากนี้พวกเขามักจะเลือกออกเดตกับคนที่มีการศึกษาในระดับใกล้เคียงกันเท่านั้น เพราะเชื่อว่าจะคุยกันได้รู้เรื่องมากกว่า

ฟังดูแล้วอาจจะดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่พวกเขาเชื่อว่าคนเราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง นอกจากนี้บางคนยังตกหลุมรักจาก “ความฉลาดเฉพาะ” ของอีกฝ่ายด้วย เช่น ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ การใช้ภาษาในการเขียนที่สละสลวย หรือมีความสามารถพิเศษในด้านต่างๆ แต่ในทางกลับกันก็มีคนบางกลุ่มมองว่า ความคิดเหล่านี้อาจไม่ใช่รสนิยมทางเพศที่แท้จริง อาจเป็นแค่การยกตัวเองให้อยู่สูงกว่าคนอื่นเท่านั้น

  • ลักษณะของคนที่ตกหลุมรักจากความฉลาดเป็นอย่างไร

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า ตัวเองเข้าข่ายรสนิยม “ตกหลุมรักจากความฉลาด” หรือไม่ สามารถเช็กได้ง่ายๆ ดังนี้

1. ไม่ตกหลุมรักใครง่ายๆ จากการเจอกันในครั้งแรก หรือที่เรียกว่ารักแรกพบเพราะไม่ได้มองคนที่ภายนอก แต่จะเริ่มรู้สึกดีและอยากพัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือบางคนอาจใช้เวลาศึกษากันนานเป็นปีก่อนจะตัดสินใจคบหากัน

2. ไม่มองคนที่สถานะทางสังคมหรือสถานะทางการเงิน แม้ว่าเงินจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของคู่รักส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่มีรสนิยมแบบ Sapiosexual นั้น เชื่อว่ามุมมอง ความคิด ทัศนคติ ทักษะการแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าและจะทำให้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตคู่ได้ รวมถึงยังเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างฐานะในอนาคต

3. ไม่ชอบการทะเลาะแต่จะเปลี่ยนให้เป็นการถกเถียงอย่างมีเหตุผล เพราะนอกจากจะสามารถหาทางออกของปัญหาร่วมกันได้ดีแล้ว แต่ละฝ่ายยังได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเองอีกด้วย

4. แม้จะชอบคนที่ความคิด แต่ก็ไม่ชอบการโดนดูถูก สำหรับบางคนอาจชอบคนที่เก่งกว่าตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชอบคนที่มีอีโก้สูง เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่ากำลังโดนอีกฝ่ายดูถูกหรือแสดงตนอยู่เหนือกว่า ก็อาจจะนำไปสู่การบอกลาความสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องคิดเยอะ แต่ในอีกมุมหนึ่งคุณมักจะให้ความสนใจกับคนที่แม้ว่าจะมีความรู้แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตนไปด้วยในเวลาเดียวกัน

สุดท้ายนี้ไม่ว่าคนเราจะตกหลุมรักกันด้วยเหตุผลอะไร มีรสนิยมแบบไหน แต่สิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ คงหนีไม่พ้นการปรับตัวเข้าหากัน และพยายามทำความเข้าใจในตัวตนอีกฝ่าย ซึ่งยังคงเป็นเรื่องจำเป็นที่ทั้งสองฝ่ายต้องใส่ใจอยู่เสมอ

อ้างอิงข้อมูล : Urban Creature, VICE และ Thomas TH