40 ปี “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” เพลงประจำเทศกาล “ฮาโลวีน”

40 ปี “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” เพลงประจำเทศกาล “ฮาโลวีน”

เปิดตำนานเพลง “Thriller” เพลงฮิตของ “ไมเคิล แจ็คสัน” ราชาเพลงป๊อป ที่ได้รับความนิยมในเทศกาล “ฮาโลวีน” ของทุกปี รวมถึงยังเป็นเพลงที่ปฏิวัติการทำมิวสิควีดีโอ และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายมากที่สุดในโลก

31 ต.ค. “ฮาโลวีน” เวียนกลับมาอีกครั้ง ผู้คนทั่วทุกมุมโลกต่างร่วมใจกันออกมาแต่งตัวในชุดแฟนซีที่ครีเอทกันแบบสุดพลัง ทั้งเป็นผีหลากหลายประเภท ตัวละครที่ชื่นชอบ สัตว์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งของ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ นอกจากฟักทอง โครงกระดูก ชุดแฟนซี และ การละเล่น Trick or Treat แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในช่วงวันฮาโลวีนก็คือเพลง “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” ราชาเพลงป๊อปตลอดกาล

กรุงเทพธุรกิจ ชวนค้นหามนต์เสน่ห์ของ Thriller เพลงที่มีอายุครบ 40 ปีในปีนี้ แต่เพลงกลับอยู่เหนือกาลเวลาและยังคงถูกเปิดอยู่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเทศกาลฮาโลวีน อีกทั้งยังเป็นเพลงที่เปลี่ยนรูปแแบบการทำมิวสิควิดีโอไปตลอดกาล

40 ปี “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” เพลงประจำเทศกาล “ฮาโลวีน”

ไมเคิล แจ็คสันและฝูงซอมบี้ในเอ็มวีเพลง Thriller

 

  • Thriller เพลงประจำเทศกาลฮาโลวีน

หาก “All I Want For Christmas Is You” ของ นักร้องดีว่าสาวตัวแม่อย่าง “มารายห์ แคร์รี” เป็นเพลงประจำเทศกาลคริสต์มาสฉันใด “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” ราชาเพลงป๊อป ก็เป็นเพลงประจำเทศกาล “ฮาโลวีน” ฉันนั้น เพราะ 2 เพลงนี้สามารถกลับขึ้นสู่ชาร์ต Billboard Hot 100 ได้ในทุก ๆ ปี ส่งผลให้แจ็คสันเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่มีเพลงติดชาร์ตติดต่อกันถึง 7 ทศวรรษ (1960-2020) 

Thriller” เป็นซิงเกิลลำดับที่ 7 จากอัลบั้มชื่อเดียวกันของไมเคิล แจ็คสัน โดยติดชาร์ต Billboard Hot 100 ครั้งแรกในปี 2525 สามารถขึ้นสูงสุดได้ที่อันดับ 4 หลังจากนั้นปี 2552 ที่แจ็คสันเสียชีวิตเพลงนี้ก็กลับมาติดชาร์ตอีกครั้งและเป็นเพลงของแจ็คสันทำยอดขายสูงสุดในสหรัฐช่วงนั้น 

ขณะที่ช่วงฮาโลวีนปี 2556 เพลงนี้กลับเข้าสู่ชาร์ตอีกครั้ง และกลับเข้าสู่ชาร์ต Billboard Hot 100 ในทุก ๆ ปี ทำให้ในปัจจุบัน เพลง Thriller มียอดดาวน์โหลดในสหรัฐมากกว่า 10 ล้านครั้งแล้ว อีกทั้งยังได้รับการรับรองจาก สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐ หรือ อาร์ไอเอเอ (RIAA: The Recording Industry Association of America) ว่ามียอดขายผ่านระดับ “แพลทินัม” หรือมากกว่า 1 ล้านชุด

เนื่องด้วยตัวเพลงที่มีทั้งเสียงสุนัขหอน เสียงเปิดประตูเอี๊ยดอ๊าด ดนตรีที่ให้อารมณ์หนังสยองขวัญ รวมไปถึงท่อนพูดเสียงทุ้มต่ำในท่อนบริดจ์และเสียงหัวเราะชวนขนลุกช่วงท้ายเพลงที่เป็นเสียงของ “วินเซนต์ ไพรซ์” นักแสดงผู้มีชื่อเสียงจากการเล่นภาพยนตร์สยองขวัญหลายเรื่อง รวมไปถึงมิวสิควิดีโอของเพลงนี้ที่มาในธีมหนังสยองขวัญยิ่งทำให้เพลงนี้เหมาะสมกับช่วงฮาโลวีนเข้าไปอีก

40 ปี “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” เพลงประจำเทศกาล “ฮาโลวีน”

ไมเคิล แจ็คสันขณะถ่ายทำเอ็มวีเพลง Thriller

 

  • มิวสิควิดีโอที่พลิกโฉมวงการเพลง

เดิมทีในช่วงยุค 80 นั้น MTV ไม่เปิดมิวสิควิดีโอของศิลปินผิวสี จนกระทั่งเพลง “Beat It” อีกหนึ่งเพลงฮิตของแจ็คสันนั้น เป็นมิวสิควิดีโอของศิลปินผิวสีตัวแรกที่ได้ออกอากาศทาง MTV (ซึ่งที่ยอมเปิดเอ็มวีเพลงนี้ก็เพราะกลัวว่าช่องจะมีภาพลักษณ์เหยียดสีผิว)

ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะผู้ชมต่างชื่นชอบและขอให้เปิดเพลงนี้นับครั้งไม่ถ้วน และกลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตแห่งปี เมื่อได้รับความนิยมดังนี้ ค่ายจึงต้องการเข็นมิวสิควิดีโอตัวใหม่ออกมาสานต่อกระแส สุดท้ายมาลงตัวที่เพลง Thriller ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกแจ็คสันไม่ได้มีแผนจะทำมิวสิควิดีโอเพลงนี้

มิวสิควิดีโอเพลง Thriller มีความยาวถึง 13 นาที 42 วินาที ซึ่งมาจากความต้องการของจอห์น แลนดิส ผู้กำกับภาพยนตร์และนักแสดง ที่เสนอกับแจ็คสันว่า ถ้าจะให้เขากำกับต้องเป็นหนังสั้นเท่านั้น โดยมิวสิควิดีโอนี้ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์สยองขวัญหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Phantom of the Opera (2468) และ Night of the Living Dead (2511) รวมถึงล้อเลียนหนังเกรดบียุค 1950 อีกด้วย

สำหรับเนื้อเรื่องในมิวสิควิดีโอตัวนี้นั้นเป็นเรื่องของแจ็คสันที่ไปพาคนรักเดินทางกลับบ้านหลังจากไปดูหนังผีด้วยกัน ระหว่างทางกลับบ้านได้เจอกับฝูงซอมบี้ และแจ็คสันก็กลายเป็นซอมบี้ด้วย เขาและฝูงซอมบี้ได้ไล่ตามหญิงสาวไปในบ้านร้าง สุดท้ายเธอสะดุ้งตื่นและพบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แจ็คสันเข้าไปปลอบเธอ ก่อนจะหันมายิ้มให้กล้องและตาของเขากลับเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า Werecat (คล้าย ๆ เสือสมิงของบ้านเรา) เหมือนในต้นเรื่อง

 

ด้วยเนื้อเรื่องที่มีหลายองก์ อีกทั้งยังต้องกองทัพซอมบี้ สัตว์ประหลาด เครื่องสร้างควัน บ้านร้าง โรงภาพยนตร์ การแต่งสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ทำให้ใช้งบในการถ่ายทำไปกว่า 900,000 ดอลลาร์ ซึ่งไม่เคยมีใครลงทุนกับมิวสิควิดีโอมากขนาดนี้มาก่อน แน่นอนว่าค่ายไม่ได้มีงบขนาดนั้น แจ็คสันจึงได้ระดมทุนจากสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ เพื่อแลกกับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ “The Making of Thriller” สารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำเอ็มวีตัวนี้ โดย MTV สมทบทุนมา 250,000 ดอลลาร์ ส่วน SHOWTIME ร่วมด้วย 300,000 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังออกมาจำหน่ายในรูปแบบวิดีโอเทปในราคา 29.95 ดอลลาร์ ซึ่งขายไปได้กว่า 1 ล้านชุด

 

  • อัลบั้มที่ทำให้ แจ็คสัน กลายเป็นราชาเพลงป๊อป

Thriller” เป็นอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 6 ที่ใช้ชื่อเดียวกัน ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” ศิลปินขวัญใจคนทั้งโลก วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2525 โดยสามารถครองอันดับ 1 บน Billboard Hot 200 ชาร์ตจัดอันดับยอดขายอัลบั้มของสหรัฐได้นานถึง 37 สัปดาห์ จนถึงปัจจุบันอัลบั้ม “Thriller” สามารถทำยอดขายไปราว 70 ล้านชุด กลายเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล รับรองโดย Guinness Book of World Records

เพลงในอัลบั้มนี้ถูกนำมาตัดเป็นซิงเกิลทั้งสิ้น 7 เพลง โดยทุกเพลงนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถเข้า Top 10 Billboard Hot 100 ชาร์ตจัดอันดับเพลงที่ได้รับความนิยมในสหรัฐและน่าเชื่อถือที่สุดในโลก และล้วนเป็นเพลงที่คุ้นหูจนถึงปัจจุบัน อัลบั้มนี้เปิดตัวด้วยเพลง “The Girl Is Mine” ซึ่งได้ พอล แม็คคาร์ตนีย์ สมาชิกวง The Beatles มาร่วมขับร้องด้วย 

ขณะที่ “Beat It” และ “Billie Jean” สามารถขึ้นอันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ อีกทั้งกลายเป็นหนึ่งในเพลงอันดับแรก ๆ ที่คนจะรู้จักว่าเป็นเพลงของแจ็คสัน ส่วน "Wanna Be Startin' Somethin'" "P.Y.T. (Pretty Young Thing)" และ "Human Nature" ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

นอกจากยอดขายและชาร์ตเพลงจะการันตีความนิยมของอัลบั้มนี้แล้ว Thriller ยังทำให้แจ็คสันคว้ารางวัลใหญ่ในการประกาศรางวัลได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการประกาศรางวัลแกรมมี อวอร์ด ครั้งที่ 26 ที่คว้าไปชนะถึง 8 รางวัล รวมถึงในสาขาใหญ่อย่างอัลบั้มแห่งปี และบันทึกเสียงแห่งปี จากเพลง Beat It และทำให้แจ็คสันเป็นเจ้าของสถิติผู้ชนะรางวัลแกรมมี่มากที่สุดในปีเดียวอีกด้วย

40 ปี “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” เพลงประจำเทศกาล “ฮาโลวีน”

ปกอัลบั้ม Thriller เวอร์ชันแรก


ความสำเร็จของอัลบั้ม Thriller ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่การันตีว่าแจ็คสันได้ทำลายกำแพงทางดนตรีเท่านั้น แต่แจ็คสันได้ทำลายกำแพงทางเชื้อชาติและความเชื่อทางสังคมอีกด้วย เพราะไม่เคยมีศิลปินผิวสีในวงการดนตรีประสบความสำเร็จมากเช่นนี้ เพลงกลายเป็นที่นิยมในหมู่คนขาว และแพร่ขยายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกที่แจ็คสันจะถูกขนานนามให้เป็น “ราชาเพลงป๊อป” (King Of Pop) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อีกทั้งไฟล์ GIF ที่เป็นภาพแจ็คสันกินป๊อปคอร์นจากในเอ็มวี Thriller ยังถูกนำมาใช้เป็นมีมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งใช้ในกรณีที่กำลังรับชมอะไรบางอย่างด้วยความบันเทิง (ส่วนมากมักจะเป็นการตีกันหรือการทะเลาะกันของ 2 ฝ่าย) อีกด้วย

40 ปี “Thriller” ของ “ไมเคิล แจ็คสัน” เพลงประจำเทศกาล “ฮาโลวีน” ไมเคิล แจ็กสัน กินป๊อปคอร์น หนึ่งในมีมฮิตตลอดกาล

 

นอกจากนี้ Thriller ยังถูกนำไปใช้เต้นแฟลชม็อบประจำทุกปี เรียกว่า “Thrill the World” โดยผู้เข้าร่วมเต้นนั้นจะแต่งตัวให้เหมือนกับซอมบี้ในมิวสิควิดีโอ ในปี 2552 ปีที่แจ็คสันเสียชีวิตมีการบันทึกว่าเป็นปีที่มีคนร่วมเต้นแฟลชม็อบมากที่สุดในโลกกว่า 22,923 คน จาก 264 เมือง ใน 33 ประเทศทั่วโลก

เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลกในเดือน พ.ย.นี้ Sony Music Entertainment และบริษัทผู้ดูแลมรดกทรัพย์สินของแจ็คสันจึงร่วมกันผลิตสารคดีเกี่ยวกับอัลบั้ม Thriller โดยรวบรวมฟุตเทจและการสัมภาษณ์ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน รวมทั้งยังพูดถึงอิทธิพลของอัลบั้ม Thriller ที่มีต่อวงการเพลงและเปลี่ยนรูปแปลงการสร้างสรรค์มิวสิควิดีโอไปตลอดกาล

Thriller จึงเป็นหนึ่งในมรดกล้ำค่าที่ไมเคิล แจ็คสัน ทิ้งไว้ให้กับวงการเพลงป๊อปและคนรุ่นหลัง ในทุก ๆ ปีเพลง Thriller จะกลับมาตอกย้ำความเป็นราชาเพลงป๊อปของเขาชนิดที่ไม่มีใครแทนที่ได้ และยังคงเป็นตัวอย่างให้กับศิลปินรุ่นหลังได้ดีเสมอ แม้ว่าแจ็คสันจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้มานานกว่าสิบปีแล้วก็ตาม



ที่มา: BillboardFungjaiGeniusNew York Daily NewsThe Daily AztecVox