สัมภาษณ์พิเศษ “ผ้าผีบอก" หนังไทยไอดอลสุดเบียวของ “BNK48” และ “หยิ่น-วอร์”

สัมภาษณ์พิเศษ “ผ้าผีบอก" หนังไทยไอดอลสุดเบียวของ “BNK48” และ “หยิ่น-วอร์”

คุยกับ 4 สาว 1 หนุ่ม นักแสดงนำจาก “ผ้าผีบอก” หนังผีสุดฮาที่ก่อนจะดูต้องถอดสมองทิ้งไว้ข้างนอก แล้วไปสนุกกับเรื่องราวการค้นหาคำตอบว่า “ใครฆ่าอัญญานางหอมนวล”

รอบตัวมีแต่เรื่องชวนเครียด แต่จะมัววิตกกังวล จ่อมจมอยู่กับปัญหาเหล่านั้นคงไม่ดี ลอง Move on จากสถานการณ์ต่างๆ ไปหาความบันเทิงให้สมองได้พัก บางทีการกลับมาต่อสู้กับสารพัดปัญหาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม อาจผ่านพ้นช่วงเวลาแย่ๆ ไปได้ง่ายดายกว่าเดิม

การดูหนังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกความบันเทิงที่ง่าย ตรงไปตรงมา แค่ตีตั๋วแล้วไปใช้เวลากับหนังสักเรื่อง และหนังที่น่าจะมาเป็นยาบรรเทาความเครียดได้ดีที่สุดนาทีนี้คงไม่พ้น ผ้าผีบอก ถึงจะขึ้นชื่อว่าหนังผี แต่ไม่ได้มีแค่ความสยองขวัญ ทุกคนจะได้ขำจนกรามค้างไปพร้อมๆ กับยิ้มไปความสดใสน่ารักของเหล่าไอดอลทั้งจาก BNK48 และสองหนุ่ม หยิ่น-วอร์

สัมภาษณ์พิเศษ “ผ้าผีบอก\" หนังไทยไอดอลสุดเบียวของ “BNK48” และ “หยิ่น-วอร์”

นอกจากความสนุกปนสยองในหนังซึ่งเข้าฉายแล้วตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ยังมีเบื้องหลังที่หลายคนไม่รู้ 4 สาว BNK48 นำโดย วี - วีรยา จาง, โมบายล์ - พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค, ปูเป้ - จิรดาภา อินทจักร และ จีจี้ - ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล รวมทั้ง วอร์ - วนรัตน์ รัศมีรัตน์ จะมาเป็นตัวแทนเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังที่หาดูไม่ได้จากหน้าหนัง

สัมภาษณ์พิเศษ “ผ้าผีบอก\" หนังไทยไอดอลสุดเบียวของ “BNK48” และ “หยิ่น-วอร์”

หนังเรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร?

วอร์ : ผมว่าใครที่ชอบอะไรย่อยง่ายหรือว่าสนุก ตลก ผมว่ามาดูได้ หรือคนที่เริ่มดูหนังผีใหม่ๆ คนกลัวผีแต่อยากดูหนังผีมาดูได้ มันน่าสนใจตรงที่มันเหมาะกับคนที่อยากวางสมองตัวเองทิ้งไว้แล้วเข้ามาดูแบบสมองโล่งๆ คือไม่ต้องคาดหวังอะไร ถึงจะมีเรื่องการย้อนเวลา แต่ก็ไม่ได้มีหลักการอะไรมากมาย

วี : อยากให้ไปดูพี่น้ำหนึ่งพูดภาษาเหนือกับหนูพูดภาษาอีสาน คือหนูเป็นครั้งแรกที่ได้พูดภาษาอีสาน แล้วก็ได้เข้าซีนที่ด่ากับพี่น้ำหนึ่ง (มิลิน ดอกเทียน) ปกติไม่กล้า (หัวเราะ) เพราะหนูไม่ได้เรียนรู้ภาษาอีสานมาก่อน

แต่ละคนรับบทอะไร?

ปูเป้ : รับบทสะบันงาค่ะ สาวขี้เมา ชอบสังสรรค์ แต่สังสรรค์คนเดียวไม่มีใครชนแก้วด้วย และเป็นคนฉลาดแกมโกงค่ะ

โมบายล์ : รับบทเป็นเก็ดถะวาค่ะ เป็นคนไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บป่วยง่าย ก็ใส่แมสก์ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งแมสก์แข็งมาก ไม่สามารถปรับตามรูปหน้าได้ ต้องให้หน้าปรับตามรูปแมสก์ (หัวเราะ) แต่เป็นคนที่อัธยาศัยดี

จีจี้ : หนูรับบทวีว่าค่ะ เป็นสาวสองที่ต้องโอเวอร์ตลอดเวลา แต่งองค์ทรงเครื่องเยอะๆ ผมใหญ่ๆ ชุดใหญ่ๆ และอีกตัวคือเป็นคำเคิบในอดีตชาติ เป็นบ่าวรับใช้ที่ตามนายมาตลอด

วี : ส่วนหนูรับบทเป็นหอมนวล เป็นคนที่เพียบพร้อมในทุกอย่าง แล้วก็เป็นคนไม่ยอมคน ดีมาดีกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ

วอร์ : ผมในชาติปัจจุบันผมรับบทเป็นอชิครับ เป็นยูทูบเบอร์มีแก๊งเพื่อนที่มีความฝันว่าอยากเป็นยูทูบเบอร์อันดับต้นๆ แต่ทำคอนเทนต์มาก็ไม่ค่อยมีคนดู คือทำคอนเทนต์ผีแต่กลัวผี ส่วนพาร์ทอดีตเป็นบักคูน

เรื่องนี้มีความหลากหลาย ทั้งเพศสภาพ สภาพร่างกาย เตรียมตัวกันอย่างไร?

จีจี้ : พอรู้ว่าเป็นหนังผีตลก หนูก็ไปดูพวกหนังหอแต๋วแตกว่าเขาเล่นกันเบอร์ไหน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเล่นได้มากน้อยขนาดไหนด้วยความที่ยุคนี้เรื่อง LGBTQ ค่อนข้างละเอียดอ่อน เลยไม่รู้ว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไรโดยไม่เกิดความเข้าใจผิด ก็เลยกังวล

แต่พอแสดงไป ด้วยความที่เป็นหนังตลกเราก็เลยเล่นได้ เป็นสีสันของเรื่องมากกว่า

โมบายล์ : คงต้องขอบคุณอุปกรณ์ด้วยแหละที่ทำให้เราดูป่วยมากขึ้น มีสายน้ำเกลือที่เป็นกะลามะพร้าว หรืออะไรแบบนั้น ทีแรกก็กังวลว่าจะดูป่วยไหมนะ แต่พอดูๆ ก็เหมือนป่วยจริง เพราะเป็นคนที่รูปร่างผอม เลยยิ่งดูเหมือนป่วยจริงๆ

สัมภาษณ์พิเศษ “ผ้าผีบอก\" หนังไทยไอดอลสุดเบียวของ “BNK48” และ “หยิ่น-วอร์”

มีทั้งเรื่องผ้าโบราณและใช้ภาษาถิ่น ยากง่ายอย่างไร?

ปูเป้ : สำหรับหนูไม่ยากค่ะ เพราะหนูเป็นคนเหนืออยู่แล้ว และในหนังมีพูดเหนือนิดหน่อย ก็เลยไม่ได้ยากมาก ถ้าเป็นเรื่องภาษาน่าจะเป็นน้ำหนึ่งกับวีที่ไม่ได้เป็นคนภาคนั้นแต่ต้องพูด ก็เลยต้องเรียนรู้ใหม่

ส่วนผ้าหนูชอบนะ แต่ละคนมีกิมมิคเอกลักษณ์ประจำตัว อย่างวีมีผ้าพาดคอ ของหนูมีผ้าคลุมไหล่ข้างเดียว เขาดีไซน์ได้สวย ของหนูเป็นสีน้ำเงิน

โมบายล์ : ผ้าของหนูสีแดง เมืองของหนูค่อนข้างร่ำรวยจะมีเครื่องประดับเยอะๆ มีปิ่นปักผม มีนู่นนี่นั่น โชว์เครื่องทอง

จีจี้ : ผ้าของหนูเป็นสีเหลือง ในสมัยก่อนหนูเป็นผ้าสีชมพู อยู่เมืองเดียวกับพี่น้ำหนึ่ง หนูจะเป็นคนที่แต่งตัวเซ็กซี่ที่สุดเพราะมีแค่เกาะอก ซึ่งเมืองของหนุกับพี่น้ำหนึ่งเป็นเมืองดอกไม้เลยเน้นสีชมพู

วี : เรื่องผ้าหนูรู้สึกแพงค่ะ รู้สึกว่าต้องระวัง เพราะผ้าที่พวกเราใส่ไม่รู้ว่าโบราณแค่ไหนแต่มันแพงจริง ผ้าของหนูจะมีแค่ผ้าพันคอ แล้วก็จะมีดอกลำดวน ซึ่งแต่ก่อนจะเรียกว่าหอมนวล

วอร์ : ผมอยู่สองยุค เป็นเสื้อผ้าธรรมดาในยุคปัจจุบัน กับอดีตชาติเป็นหมวกแหลมๆ แล้วก็มีผ้าคลุม มีการสักลายที่ต้นขา สวมกางเกงแบบซูโม่ (ผ้าเตี่ยว) ซึ่งลายสักนี่เพนท์กันนานมากจนผมไม่อยากล้างออกให้หมด เพราะพอเช้าก็ต้องเพนท์ใหม่ ก็เลยเหลือลายไว้ คือมันนานขนาดที่ต้องใช้คนสามคนช่วยกันเพนท์เป็นชั่วโมงจนจะเข้าซีนแล้วยังไม่ได้ ผมเลยอีกใช้อีกสองมือช่วยกันทำ เพราะโครงมันยังอยู่

บรรยากาศในกองถ่ายเป็นอย่างไร?

วอร์ : ไปถ่ายอยู่ในป่าก็เหมือนเราได้ไปแคมปิ้งไปในตัว ผมไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนี้มานานมาก ก็คือเข้าไปอยู่ในป่าเชียงใหม่ มีวิวธรรมชาติ ได้สำรวจ เวลาว่างๆ ก็เดินซึมซับบรรยากาศ

วี : ถ้าถ่ายเบื้องหลังของพี่วอร์ ก็จะได้สารคดี

ปูเป้ : จริง ได้สารคดีเรื่อง จิ๊ดริดผจญภัย (ฮา)

วอร์ : ผมชอบดูแมลง แล้วพอเจอมดเจอแมลงอะไรต่างๆ ก็เพลินเลยครับ

โมบายล์ : หนูรู้สึกว่าเพื่อนๆ รักธรรมชาติกันมากขึ้น เพราะวันที่เราพักกองก็ไปสวนสัตว์กัน ไปส่องสัตว์กัน

สัมภาษณ์พิเศษ “ผ้าผีบอก\" หนังไทยไอดอลสุดเบียวของ “BNK48” และ “หยิ่น-วอร์”

ถึงจะเป็นหนังเบาสมอง แต่ในฐานะนักแสดง มีความท้าทายอย่างไร?

วี : ท้าทายตรงที่ต้องเป็นหญิงไทยนี่แหละ ต้องเรียบร้อย แต่หนูไม่ใช่คนเรียบร้อยแบบในคาแรกเตอร์อัญญาหอมนวล แล้วต้องใช้ภาษาอีสานที่เราไม่ได้พูดเป็น และมารู้ก่อนถ่ายวันเดียวว่าต้องพูด เลยรู้สึกว่ายาก แต่ก็มีพี่นักแสดงที่ชื่อพี่บอส (สหรัฐ หอมแสง) กับพี่ๆ ทีมงานที่พูดอีสาน หนูก็เลยถามเขา

มีเรื่องรำด้วยที่หนูก็เพิ่งรู้วันนั้นเลยที่ต้องรำ โชคดีที่พี่สไตลิสต์เขาเป็นครูนาฏศิลป์ ก็เลยให้เขาสอนให้ ทำเต็มที่แล้วค่ะ ถูๆ ไถๆ ไป เรียนวันนั้นแล้วคืนนั้นก็รำเลย ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะมีเรื่องท้าทายขนาดนี้ในกอง

จีจี้ : นี่เป็นการแสดงเรื่องแรก หนูรู้สึกดดันตัวเอง เพราะเราไม่รู้ว่าไปถ่ายแล้วจะเป็นอย่างไร ด้วยความที่ไม่ได้มีประสบการณ์ บวกกับว่าต้องรับบทสาวสองเลยพะวงหลายอย่าง พอต้องร่วมงานกับคนอื่นก็กลัวจะทำให้เขาเสียเวลา

แต่หนูก็ดีใจที่ได้รับโอกาสนี้ เพราะเป็นศาสตร์แขนงใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัส ปกติก็ร้องก็เต้นเฉยๆ พอไปสัมผัสจริงๆ ก็อยากทำให้ได้ดีกว่านี้อีกในโอกาสต่อไปๆ

โมบายล์ : ของหนูความยากคือการเข้าฉากกับเพื่อน มันขำ ด้วยความที่เราเป็นแก๊งที่สนิทกันมาก พอเจอหน้ากันแล้วต้องมาพูดเรียบร้อยใส่ก็จะเขินๆ พอเจอเพื่อนเราคอยจะเป็นตัวเอง เลยเป็นความยากตรงนี้

ปูเป้ : ถึงจะเคยเล่นหนังมาบ้างแล้ว แต่เรื่องก่อนๆ หนูแค่แจมๆ ฉากสองฉาก หรืออย่างไทบ้านถึงจะมีหลายฉากแต่ก็เป็นวุ้นอยู่ข้างหลังเขา เรื่องนี้ก็มีซีนมากขึ้น

หนูเพิ่งนึกออกว่ามีความยากความท้าทายอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ออกไปในหนังคือ หนูต้องไปเรียนว่ายน้ำ คือจริงๆ มีฉากที่หนูต้องลงน้ำ แต่เขาปรับเปลี่ยนใหม่ แต่หนูไปเรียนว่ายน้ำแล้วเพราะหนูว่ายน้ำไม่เป็น ไปเรียนคนเดียวด้วย ตอนที่เรียนหนูอยากร้องไห้ หนูอยากกลับบ้าน ทำไมต้องมาเรียนว่ายน้ำ หนูไม่ชอบว่ายน้ำ หนูไม่ชอบน้ำ ไม่ได้เลย แล้วสุดท้ายก็ว่ายไม่ได้ (หัวเราะ)

หนูไม่ได้เลิกเรียนก่อนด้วยนะ ก็เรียนจนจบ คือมันเป็นหลักสูตรเร่งรัด ต้องเป็นให้เร็วที่สุด อย่างน้อยท่าลูกหมาตกน้ำ แต่ท่าลูกหมาตกน้ำหนูก็ไม่ได้ แล้วสุดท้ายก็ไม่มีฉากว่ายน้ำอยู่ดี แล้วหนูไปเรียนทำไม

วอร์ : สำหรับผมนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก การถ่ายทำก็จะแตกต่างจากถ่ายซีรีส์ วิ่งไม่ผ่านก็ต้องวิ่งใหม่ แล้วผมต้องเป็นคาแรกเตอร์ที่กลัวผีแล้ววิ่งหนีผี ไม่เคยเล่นมาก่อนว่าจะกลัวอย่างไร กลัวมันมีหลายระดับ กลัวแบบกลัวจริงๆ กับกลัวแต่ตลก แล้วก็ต้องถ่ายกับเสาที่ต้องจินตนาการว่าเป็นผี วิ่งหนีไอเสานั้น

เวลากลัวต้องมีหอบ แล้ววันนั้นมีสโมกเยอะมาก สูดเข้าไปเต็มปอดเลยฮะ ไม่รู้ว่าพูดออกมาเป็นไอหรือเปล่า ต้องบริหารปอดดีๆ เวลาสโมกเยอะๆ ตอนแรกผมไม่รู้ก็เลยหายใจเต็มๆ ครั้งหน้าทำเป็นหายใจปลอมๆ แล้วกัน มันเหนื่อยจริงๆ ครับเวลาสูดเข้าไป

สัมภาษณ์พิเศษ “ผ้าผีบอก\" หนังไทยไอดอลสุดเบียวของ “BNK48” และ “หยิ่น-วอร์”

มองอนาคตด้านการแสดงของตัวเองกันอย่างไร?

วี : หนูอยากเล่นเป็นนักเลง ไม่ใช่เพราะดู 4 Kings อย่างเดียวนะ คือก็มีอิทธิพลแหละ เราไม่ได้อยากเป็นนักเลง แต่รู้สึกว่าด้วยคาแรกเตอร์หนูเวลาเดิน กับรู้สึกว่ามันเป็นบทที่น่าลองเล่นเหมือนกัน จริงๆ คืออยากเล่นหนังแอ็คชั่น คิดว่าเป็นบทที่น่าสนใจระดับหนึ่งเลย เพราะน่าจะต้องศึกษาตัวละครเยอะ

(แอคชั่นต้องมีความจริงจัง วีจริงจังได้ใช่ไหม?)

ได้ (เสียงสูง) โหพี่ไม่เชื่อหนู ถ้าได้รับบท ได้โอกาสก็จะเต็มที่ค่ะ

จีจี้ : ก็ยังอยากลองด้านนี้อยู่ แต่อยากรับบทคนทั่วไป อยู่ในวงก็ได้รับบทแปลกๆ ตลอดเวลา เวลาเล่นหนังก็อยากเล่นเป็นผู้หญิงโก๊ะๆ หรือเป็นคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกทั่วไป  จะเรียบร้อย ขี้วีน หรืออะไรก็ได้ จริงๆ ก็แล้วแต่ตามโอกาสที่ได้รับค่ะ

โมบายล์ : แรกๆ หนูเครียดมาก หนูไม่ชอบการแสดง หนูชอบร้องเพลง แต่พอไปเล่นซีรีส์มาก็ดีขึ้น แล้วพอผ่านการกดดันมามากๆ แล้วสำเร็จไปด้วยดี ก็รู้สึกว่าเราก็เก่งเหมือนกัน ชอบโมเมนต์แบบนี้ที่กดดันก่อนแล้วเราทำได้ ยิ่งถ้าเราได้เล่นบทที่รู้สึกว่าเป็นตัวเองด้วย มีความสุขที่ได้เล่นด้วย ก็คงอยากเล่นหนังไปเรื่อยๆ

ปูเป้ : หนูอยากรับบทชีวิตในโรงเรียน อยากเป็นนักเรียน อยากรับบทวัยรุ่น ชีวิตในโรงเรียน บทไม่ต้องใสๆ ก็ได้ เป็นวัยรุ่นเทาๆ ก็ได้ จริงๆ ก็อยากลองหลายๆ อย่าง แต่ถ้าตอนนี้อยากมากสุดก็อยากรับบทนักเรียน อยากแอบดูรุ่นพี่ อยากมีฟีลแอบดูรุ่นพี่ อยากแต่งชุดนักเรียน

วอร์ : ของผมแล้วแต่ศรัทธาเลยฮะ ถ้ามีบทอะไรหรือหนังอะไรเราก็ดูว่าน่าสนใจหรืออยากเล่นไหม เพราะผมก็ชอบร้องเพลงเล่นดนตรีมากกว่า แต่ในพาร์ทการแสดงก็สนุกครับ มันก็เหนื่อยตอนถ่าย แต่พอมันเสร็จแล้วก็รู้สึกดีใจและลุ้นว่ามันจะออกมาดีหรือเปล่า

ผมชอบดูผลลัพธ์ตรงที่ว่าคนที่ดูเราได้รับอะไรกลับไปหรือเปล่า เขาชอบหรือเปล่า มีความสุขหรือเปล่า มันสร้างแรงบันดาลใจให้เราทำต่อไปได้

ในฐานะคนรุ่นใหม่ มีความคิดเห็นอย่างไรกับผ้าหรือวัฒนธรรม?

วี : หนูอยากให้มันยังอยู่ แต่ทำให้ร่วมสมัยมากขึ้น เป็นแฟชั่นมากกว่าเดิม คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้ชอบของเก่าขนาดนั้น แต่ถ้าเอามาปรับให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นก็คิดว่าน่าสนใจมากขึ้น

จีจี้ : หนูก็คิดแบบนั้น สมัยนี้มีชุดไทยประยุกต์ เป็นชุดปกติที่เป็นผ้าไทย หรืออย่างชุดที่หนูเพิ่งซื้อมาก็เป็นผ้าไทยแต่เป็นเสื้อครอปเอวลอย รู้สึกว่ามันแมตช์กับกางเกงยีนส์ได้ ไม่ได้ดูโบราณ ทำให้คนสมัยใหม่เข้าถึงได้ง่าย พอคนได้ยินว่าเป็นผ้าไทยก็อาจจะคิดว่าต้องเป็นชุดไทย แต่จริงๆ มันเปิดกว้างมาก อย่างพี่แพร (แพรี่พาย) ที่เขาเอาผ้าไทยไปเผยแพร่ที่เมืองนอกก็ทำให้คนเห็นว่าผ้าไทยจริงๆ ก็ประยุกต์ได้ ไม่ต้องเป็นชุดไทยแต่งเต็มที่ต้องใส่กับชฎา

วอร์ : สำหรับผมเรื่องผ้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมโดยตรง เรื่องผ้าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุกคนมีการแต่งกายของแต่ละยุคตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผมคิดว่าผ้าโบราณสะท้อนความมีฝีมือของคนไทยมากๆ สมัยก่อนไม่ได้มีเครื่องจักร แล้วผมก็เชื่อว่าเครื่องจักรทำเหมือนมือไม่ได้ มันมีเอกลักษณ์ของมัน ผมรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนรักษาเอกลักษณ์นี้ไว้ แต่เราจะไปบังคับเด็กรุ่นใหม่ให้คุณต้องรักษา ไม่ได้นะ เราต้องปรับตัวตาม ต้องมีดีไซน์ให้เข้ากับยุคปัจจุบันด้วย แต่คงงานฝีมือไว้อยู่ ผมว่ามันวินวินกันทั้งคู่ คนที่ยังทอผ้าอยู่ตอนนี้ ถ้ามีดีไซน์ตอบโจทย์กับสังคมปัจจุบัน ผมว่าไปด้วยกันได้

เพลงประกอบภาพยนตร์ เป็นอย่างไร?

ปูเป้ : เพลง หมกกบ เป็นเพลงเร็วที่เป็นภาษาอีสาน เป็นคำศัพท์อีสานลึกๆ เลย มีจังหวะหมอลำ เซิ้ง ม่วนเลยค่ะ อัพเกรดมาจากโดดดิด่งอีกที เพลงนี้มีคอมเมนต์เยอะเลยว่าแปลว่าอะไร ฟังไม่ออกเลย ก็ต้องบอกว่าอัพเกรดความยากและความสนุกขึ้นด้วยค่ะ สีสันต่างๆ ในเพลง ใน MV ชุดก็อิงมาจากหนังที่แต่ละคนรับบทด้วย ลายผ้าชุดใน MV ก็มาจากลายผ้าในหนัง

โมบายล์ : อีกเพลงคือ มนต์รักจิ้งหรีด เป็นเพลงช้าที่ค่อนข้างคอนทราสกับหมกกบ เพลงนี้ฟังแล้วถ่ายทอดความรู้สึกของหญิงสาวในเรื่องได้เป็นอย่างดี ความรักของเจ้าหญิงที่ส่งไปถึงเจ้าหลวง ความรักที่พยายามทำเพื่อเขาทุกอย่าง มันค่อนข้างลึกซึ้ง เปรียบดั่งจิ้งหรีดที่ร้องหาจิ้งหรีดตัวที่มันรัก เพลงนี้ค่อนข้างเป็นทางเหนือ จะมีพูดเป็นภาษาเหนือ คนร้องมี วี จีจี้ และหนู

จีจี้ : เพลงนี้ท่อนที่ร้องเป็นภาษาเหนือ จะกึ่งๆ พูด กึ่งๆ ร้อง ต้องช้ามากๆ และใช้เสียงที่อ่อนหวานมาก กว่าจะผ่าน

วี : ใช่ ยากมาก อะไรที่ต้องเป็นผู้หญิงหวานๆ มันยากสำหรับหนู หนูอ่านหลายรอบมาเพราะหนูไม่ยอมช้าสักที ทั้งตอนอัดเสียง Voice over ในหนังด้วย ต้องแก้หลายรอบมากเพราะหนูพูดเร็วเกินไป ไม่ชอบทำอะไรช้าๆ น่ะ พี่เป้ยังขำหนูเลย

อะไรคือเหตุผลที่คนต้องไปดู “ผ้าผีบอก” ?

ปูเป้ : อันดับแรกเลย ทุกคนจะได้เห็นลุคใหม่ของพวกเรา จะได้เห็นที่ไม่มีทางจะได้เห็นข้างนอกหรือต่อจากนี้ก็จะไม่ได้เห็นลุคนี้แล้ว เพราะเราแต่งองค์ทรงเครื่องกันจัดเต็มมาก และย้อนยุคด้วย มันสวยนะคะ เครื่องแต่งกายในเรื่องมันมีดีเทลเยอะมากเลย ไปรับชมความสวยงามของพวกเราได้

โมบายล์ : บทบาทของแต่ละคนค่อนข้างไกลตัว ก็อยากให้ไปดูว่าน้องคนนี้เขาอยู่ในสายกรึ่มๆ จะเล่นเป็นอย่างไร หนูเป็นคนไม่แข็งแรงจะเล่นเป็นอย่างไร พี่น้ำหนึ่งมายืนด่าฉอดๆ ค่อนข้างคอนทราสกับตัวตนทุกคนเลย ก็เลยอยากให้ไปดูพวกเราเล่นกัน รวมถึงพี่ๆ คนอื่นๆ ที่ทุ่มสุดตัวเลย

จีจี้ : ไปเจอความแตกแยก (หัวเราะ) เพราะมีการวิเคราะห์ไง เฮ้ย ใครเป็นคนฆ่า ถ้าเราไปกับเพื่อนกับฝูง แตกแยกแน่นอน เพราะคิดไม่เหมือนกัน จะมีการหยุมหัวคนข้างๆ จนสุดท้ายแล้วบุคคลคนนั้นคือใคร เจอกันท้ายเรื่อง ระหว่างนั้นจะได้วิเคราะห์กันตลอดเวลาให้ทุกคนได้ตื่นเต้นกัน

วี : ทำไมต้องไปดู ขอร้องไปดูกันเถอะ (หัวเราะ) ตลกค่ะ ช่วงนี้บ้านเมืองค่อนข้างเครียด เราก็อยากให้ทุกคนได้รับเสียงหัวเราะ หวังว่าไปแล้วจะเอนจอยกับหนัง เพราะหนังมันตลก แค่เห็นหน้าพวกเรา แฟนคลับก็ขำแล้วค่ะ

วอร์ : ผมว่ามันเป็นหนังสะท้อนสังคมครับ คุณจะได้แง่คิดอะไรกลับไปแน่นอน เพราะมีปมอะไรต่างๆ จากการกระทำของแต่ละคน ตอบจบก็จะเป็นบทพิสูจน์ว่าเราจะได้อะไรกลับไปหรือเปล่า น่าจะได้แง่คิดกลับไปไม่มากก็น้อย หรือไม่ก็น้อยเลย (ฮา)

มันครบรสครับ ได้แง่คิด ความตลก มิตรภาพ ปะปนกันไป และผมว่าภาพสวยมาก