"Top Gun: Maverick" ชวนรำลึกอดีต ดูดกลุ่มอายุ "40+" กลับเข้าโรงหนัง

"Top Gun: Maverick" ชวนรำลึกอดีต ดูดกลุ่มอายุ "40+" กลับเข้าโรงหนัง

“Top Gun: Maverick” ขึ้นแท่นหนังทำเงินสูงสุดช่วงหยุดยาว Memorial Day กวาด 156 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นที่ทำรายได้เปิดตัวมากที่สุดในชีวิตการแสดงของ “ทอม ครูซ” พร้อมดึงกลุ่มผู้ชมรุ่นใหญ่เข้าโรงหนังถึง 55% ของผู้ชมทั้งหมด

“Top Gun: Maverick” ภาพยนตร์แอคชันสุดระห่ำ ภาคต่อของ “Top Gun” ที่เคยเข้าฉายเมื่อ 36 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีภาคต่อห่างจากภาคแรกนานที่สุด โดยมีเนื้อหาที่ต่อจากภาคเดิม รวมทั้งยังได้ “ทอม ครูซ” กลับมารับบทนำ บทเดิมที่เคยเล่นไว้ในภาคก่อนอีกด้วย

ไม่เพียงแค่นั้นยังได้ “เลดี้ กาก้า” มาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ให้อีกด้วย ในชื่อเพลง “Hold My Hand” ซึ่งดีเยี่ยมไม่แพ้กับเพลงในภาคก่อนที่ได้รางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์จากเพลง “Take My Breath Away” ของวง Berlin

 

ทุบสถิติรายได้หนังช่วงวันหยุดยาว

Top Gun: Maverick” สามารถทำรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในสหรัฐกว่า 124 ล้านดอลลาร์ และในวันจันทร์ที่เป็นวันหยุดเนื่องในวันรำลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อชาติ (Memorial Day) สามารถเก็บรายได้ไปกว่า 29 ล้านดอลลาร์ ทำให้รวมวัน 4 วัน ตั้งแต่ศุกร์ที่ 27 - จันทร์ที่ 30 พ.ค. ทำรายได้ถึง 156 ล้านดอลลาร์ ทำลายสถิติเดิมของ “Pirates of the Caribbean: At World's End” ที่เปิดตัวด้วยเงิน 153 ล้านดอลลาร์ในช่วงวันหยุดยาวในปี 2550 และขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในวันหยุดยาวช่วงวันรำลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อชาติ

นอกจากนี้ “Top Gun: Maverick” ยังสามารถทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในสุดสัปดาห์แรกในยุคการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอันดับที่ 4 เป็นรองเพียง “Spider-Man: No Way Home” ที่กวาดรายได้ไป 260 ล้านดอลลาร์, “Doctor Strange in the Multiverse of Madness” ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนด้วยรายได้ 187 ล้านดอลลาร์ และ “The Batman” เวอร์ชันของโรเบิร์ต แพตทินสันที่ทำรายได้ 134 ล้านดอลลาร์

ขณะที่รายได้รายได้รวมทั่วโลก โดยไม่นับจีนและรัสเซียที่ยังไม่ได้เข้าฉายนั้น สามารถทำรายได้ไปแล้วกว่า 282 ล้านดอลลาร์ ถือว่าเปิดตัวได้ดีเลยทีเดียว

การเข้าฉายในระบบ IMAX ช่วยให้ “Top Gun: Maverick” สามารถเก็บรายได้ในสหรัฐราว 21 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 32.5 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์เปิดตัว 

ริช เกลฟอนด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ IMAX กล่าวว่า “ถ้าคุณคิดว่าภาพยนตร์ได้ตายไปแล้ว ให้คุณดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Top Gun: Maverick แล้วบอกผมทีว่าคุณคิดอย่างไร ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกลับมาของหนังฟอร์มยักษ์ในช่วงซัมเมอร์ และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่จะทำให้คนออกมาชมภาพยนตร์ เหมือนกับที่เครื่องบิน F-18 ทำลายกำแพงเสียง” ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า IMAX จะช่วยสร้างประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างเต็มอรรถรส

อีกทั้ง “Top Gun: Maverick” ยังเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวในสหรัฐสูงสุดในตลอดชีวิตการแสดงของ “ทอม ครูซ” กว่า 40 ปีอีกด้วย ซึ่งห่างไกลจากสถิติเดิมอย่าง “War of the Worlds” (2548) ที่ทำรายได้เปิดตัวในสหรัฐไป 64 ล้านดอลลาร์

\"Top Gun: Maverick\" ชวนรำลึกอดีต ดูดกลุ่มอายุ \"40+\" กลับเข้าโรงหนัง

 

ดึงกลุ่มผู้ชมเจน X และ เบบี้ บูมเมอร์ กลับสู่โรงภาพยนตร์

สำหรับผู้ชมกลุ่มหลักที่ซื้อตั๋วเข้าไปชม “Top Gun: Maverick” นั้นคือกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี คิดเป็น 55% ของกลุ่มผู้ชมทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่อยากไปโรงภาพยนตร์มากที่สุด

ส่วนอีก 45% ที่เหลือเป็นกลุ่มผู้ชมที่อายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งส่วนมากเป็นคนที่เกิดไม่ทันตอนที่ Top Gun เข้าฉายครั้งแรกเมื่อ 36 ปีที่แล้ว แต่ด้วยกระแสปากต่อปากและความสนุกก็ช่วยทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถเข้าถึงผู้ชมกลุ่มนี้ได้อย่างต่อเนื่อง

จากผลการสำรวจของ Dynata บริษัทวิจัยตลาดออนไลน์ระดับโลก ที่ทำการสอบถามผู้ชมภาพยนตร์ใน 11 ภูมิภาค รวมทั้งอเมริกาเหนือ ในหัวข้อ “หลังจากที่โรงภาพยนตร์เปิดอีกครั้ง จะกลับไปชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์เมื่อใด” พบว่า

ผู้ชม Gen Z ซึ่งอายุไม่เกิน 25 ปี กว่า 60% กล่าวว่าพวกเขาจะกลับเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ “โดยเร็วที่สุด” หรือ “เร็ว ๆ นี้” สำหรับผู้ชมยุคมิลเลนเนียล และ Gen X ส่วนใหญ่กล่าวว่า "อีกพักหนึ่ง" กว่าที่จะกลับไป หรือ "ไม่กลับไปเลย"

ขณะที่ผู้ชมยุคเบบี้บูมเมอร์ อายุ 55 ปีขึ้นไป เกือบสองในสามของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาไม่รีบที่จะกลับไปดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์

สอดคล้องกับข้อมูลทางประชากรศาสตร์ของบ็อกซ์ ออฟฟิศ ที่วิเคราะห์โดย Ampere บริษัทวิจัยทางการตลาดในสหราชอาณาจักร ที่พบว่า รายได้ของภาพยนตร์ที่เข้าฉายในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 กว่า 65% นั้นมาจากผู้ชม Gen Z และมิลเลนเนียม ขณะที่ 21% เป็นรายได้จากผู้ชม Gen X และ 14% จากผู้ชมเบบี้ บูมเมอร์

ดังนั้น “Top Gun: Maverick” จึงเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สามารถดึงผู้ชมวัย Gen X และเบบี้บูมเมอร์ ออกมาชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ชม


ชุบชีวิตให้ Paramount 

“Top Gun: Maverick” เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 5 ของ Paramount ในปีนี้ที่เปิดตัวอันดับ 1 บนบ็อกซ์ ออฟฟิศของสหรัฐ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จจาก “Sonic the Hedgehog”, “The Lost City”, “Scream” และ “Jackass Forever” ซึ่งถือเป็นการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ Paramount เนื่องจากสตูดิโอภาพยนตร์ดังกล่าวแทบจะไม่ได้นำภาพยนตร์เข้าฉายเลยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เลือกฉายภาพยนตร์บางเรื่องในระบบสตรีมมิงแทน เช่น “The Tomorrow War” “The Trial of the Chicago 7” และ “Coming 2 America

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ “Top Gun: Maverick” ต้องเลื่อนกำหนดการฉายหลายต่อหลายครั้งจากเดิมที่วางวันเข้าฉายไว้ตั้งแต่ฤดูร้อน ปี 2563 แต่ครูซก็ยังยืนกรานว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ลงสตรีมมิงก่อนฉายในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอน 

ในที่สุด การรอคอยก็สิ้นสุดลง “Top Gun: Maverick” เข้าฉายและได้รับคำวิจารณ์อย่างยอดเยี่ยม โดยได้คะแนนสูงถึง 96% จากนักวิจารณ์ในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes และได้คะแนนจากผู้ชมในเว็บไซต์ IMDb ที่ 8.7 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 2565 เวลา 11.00 น) อีกทั้งได้รับการยืนปรบมือกว่า 5 นาที จากการฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์อีกด้วย

“ผมดีใจมากที่เรายังตัดสินใจเอาหนังเรื่องนี้เข้าฉายในโรง” คริส แอรอนสัน หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายในประเทศของ Paramount กล่าวถึงการนำภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายในโรงภาพยนตร์ “หนังเรื่องนี้จะดึงดูดผู้คนให้มาที่โรงภาพยนตร์ หลังจากที่ไม่ได้เข้ามานานแล้ว”

แม้จะทำรายได้ไปได้เกือบ 300 ล้านดอลลาร์แล้ว แต่ “Top Gun: Maverick” ยังไม่ทำกำไร เนื่องจากใช้งบประมาณในการสร้างสูงถึง 170 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยังค่าโปรโมตภาพยนตร์อีกหลายสิบล้าน รวมถึงการฉายภาพยนตร์ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ที่มีเครื่องบินขับไล่แปดลำบินอยู่เหนือถนนครัวเซ็ตต์อีกด้วย


ที่มา: Deadline, Hollywood Reporter, Variety