บริษัทยาสูบเยียวยารัฐบาลแคนาดา 2.3 หมื่นล้านดอลาร์

บริษัทยาสูบเยียวยารัฐบาลแคนาดา 2.3 หมื่นล้านดอลาร์

วารสารการแพทย์ระดับโลก The Lancet ฉบับวันที่ 16 ส.ค.2568 รายงานว่า หลังจากที่รัฐบาลแคนาดาฟ้องดำเนินคดีบริษัทยาสูบเป็นเวลา 27 ปี ที่เป็นสาเหตุให้รัฐต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่

ในที่สุดบริษัทยาสูบตกลงยอมความเมื่อ มี.ค.2568 โดยเริ่มทยอยจ่ายในเดือน ส.ค.2568 

แคนาดาเป็นประเทศที่ 2 รองจากสหรัฐ ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟ้องคดีต่อบริษัทยาสูบข้ามชาติ โดยใช้หลักการ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องเป็นผู้จ่าย” ซึ่งผู้สูบบุหรี่เสียชีวิตปีละ 7.4 ล้านคนทั่วโลก ในขณะที่บริษัท แจแปน โทแบคโก ฟิลิป มอร์ริส และ บริทิช อเมริกัน โทแบคโก ทำกำไรปีละ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์แคนาดา

Andrews Higgins ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย ออกซ์ฟอร์ด และประธานคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านความรับผิดทางกฎหมาย ในการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ให้ข้อสังเกตว่า ในขณะนี้มีการฟ้องคดีบริษัทยาสูบที่ประเทศบราซิลและเกาหลีใต้

ซึ่งความสำคัญของการยอมความโดยบริษัทยาสูบต่อรัฐบาลแคนาดา มีนัยในระดับนานาชาติที่กว้างไกล และบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า บริษัทยาสูบเป็นผู้ก่อความเสียหายและจะต้องได้รับโทษทางกฎหมาย 

การฟ้องร้องบริษัทยาสูบในแคนาดา เริ่มต้นมาจากกลุ่มผู้สูบบุหรี่กลุ่มหนึ่ง ได้ฟ้องต่อศาลว่าบริษัทยาสูบหลอกลวงเกี่ยวกับอันตรายต่อสุขภาพของบุหรี่ และต่อมารัฐบาลของมณฑลต่างๆ เป็นผู้ร่วมฟ้องคดี ประธานศาลฎีกาของออนทาริโอ เป็นผู้เขียนคำตัดสินให้บริษัทยาสูบ 3 แห่ง เป็นผู้จ่ายเงิน 85%จากรายได้ของการขายบุหรี่หลังจากชำระภาษีแล้ว เป็นระยะเวลา 40 ปีจนกว่าจะครบ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์แคนาดา

หลักการ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องจ่าย” เป็นการวางรากฐานบังคับให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเยียวยาและความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นหลักการซึ่งบังคับใช้ในประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ เป็นหลักการเพื่อให้องค์กรธุรกิจที่ก่อมลพิษ หรือทำลายสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบจ่ายค่าเสียหาย แนวคิดนี้เสนอแนะโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เมื่อปี ค.ศ. 1972 เมื่อกระแสความตระหนักทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมพุ่งขึ้นสูงสุด

ทั้งนี้ หลักการ “ผู้ก่อมลพิษ ต้องจ่าย” สามารถนำไปปรับใช้กับบริษัทยาสูบได้ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การจัดตั้งกองทุนเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากยาสูบโดยใช้หลักการ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องจ่าย” ควรจะจัดตั้งขึ้นด้วยวิธีการที่สามารถจัดเก็บงบประมาณจากผู้ผลิตยาสูบ

โดยคำนวณจากปริมาณยอดขายยาสูบของบริษัท หรืออาจใช้ส่วนแบ่งการครองตลาด วิธีการใดวิธีหนึ่งเพื่อคำนวณสัดส่วนที่บริษัทยาสูบจะต้องจ่ายเข้ากองทุน 

เกือบ 3 ทศวรรษที่แล้ว บริษัทยาสูบยักษ์ใหญ่หลายแห่งยอมความกับสำนักอัยการของมลรัฐต่างๆ ในสหรัฐ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลสหรัฐบังคับให้บริษัทยาสูบจ่ายค่าเยียวยารักษาโรคภัย ที่เกิดจากการสูบบุหรี่นับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

และส่วนหนึ่งของการยอมความ บริษัทยาสูบถูกศาลสหรัฐบังคับให้เปิดเผยเอกสารภายใน ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่าบริษัทยาสูบหลอกลวงสาธารณะเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ จากการสูบบุหรี่

Rob Cunningham จากสมาคมโรคมะเร็งแห่งแคนาดา กล่าวว่า การชนะคดีฟ้อง หรือการยอมความกับบริษัทยาสูบ นอกเหนือจากการเรียกค่าเยียวยารักษา จะสามารถบังคับให้บริษัทยาสูบเปิดเผยบันทึกและเอกสารภายในบริษัทยาสูบ “มันเป็นความยุติธรรมที่จะบังคับให้บริษัทยาสูบรับผิดชอบต่อการกระทำที่มีเจตนาร้าย” 

ผู้สูบบุหรี่ในสหรัฐเริ่มฟ้องบริษัทยาสูบในช่วงกลางทศวรรษ 1950 เมื่อมีการวิจัยบ่งชี้ว่าการสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง บริษัทยาสูบโต้แย้งว่า ผู้สูบบุหรี่เป็นผู้กระทำตนเองและต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง

ตอนต้นทศวรรษ 1990 ทนายความกลุ่มหนึ่งนำโดยอัยการของรัฐ Mississippi ได้รับข้อมูลเชิงลึกว่า เอกสารภายในบริษัทยาสูบบ่งชี้ว่าบริษัทยาสูบทราบดีหลายทศวรรษว่ายาสูบมีฤทธิ์เสพติดและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ปิดบังข้อเท็จจริงจากสาธารณะ 

ถึงแม้ศาลบางแห่งในสหรัฐอาจจะอ้างว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายสุขภาพจากภาครัฐที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากพฤติกรรมองค์กรของบริษัทยาสูบ แต่อนุญาตให้ฟ้องคดีได้บนพื้นฐานของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หรือ กฎหมายการสมรู้ร่วมคิด

โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่ามีผลโดยตรงจากอันตราย ซึ่งสำนักอัยการของสหรัฐฟ้องบริษัท ฟิลิป มอร์ริส อาร์ เจ เรย์โนลด์ บราวน์ และ วิลเลียมสัน (บริษัทในเครือ บริทิช อเมริกัน โทแบกโก) และ ลอริลลาร์ด ให้รับผิดชอบสำหรับต้นทุนค่ารักษาพยาบาล

บริษัทยาสูบทั้งหลายต้องยอมความก่อนที่จะเกิดความเสียหายมากไปกว่านี้ ในค.ศ. 1997-1998 ที่เรียกว่า The Master Settlement Agreement ซึ่งนอกจากจ่ายเงินชดเชยและเยียวยาแล้ว ต้องไม่หลอกลวงผู้บริโภค เปิดเผยเอกสารภายในทั้งหมด และยกเลิกการให้ทุนสำหรับประชาสัมพันธ์ และการวิจัย

Rob Cunningham กล่าวว่า ความสำเร็จของแคนาดาเกิดจากการผ่านร่างกฎหมายหลายฉบับก่อนจะฟ้องคดี ซึ่งก้าวข้ามปัญหา อุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้ประเทศอื่นล้มเหลว การที่ศาลอนุญาตให้ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ข้อมูลจากงานวิจัยระดับประชากรเพื่อพิสูจน์ถึงอันตราย ทำให้ไม่ต้องมีภาระในการพิสูจน์ในระดับปัจเจกบุคคล

การออกกฎหมายห้ามหลอกลวงผู้บริโภค เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศไทย เพื่อไม่ให้สังคมไขว้เขวจากวาทกรรมของบริษัทยาสูบและเครือข่ายบริวาร