บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย? ไม่เทา เท่ากัน ทันโลก?

บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มีการถกเถียงมานานโดยมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้าน บริษัทบุหรี่ข้ามชาติแทรกแซงการออกกฎหมายและนโยบายการควบคุมยาสูบของไทยมาตลอด
และปัจจุบันก็อยู่เบื้องหลังการผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย
ช่วงนี้ทุกพรรคการเมืองกำลังเตรียมนำเสนอนโยบายให้พิจารณา นโยบายที่ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนก็ย่อมส่งผลต่อคะแนนเสียงสนับสนุน นโยบายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ประชาชนจะพิจารณา
ปัญหาสำคัญที่สังคมสนใจก็มีหลายเรื่อง ทั้งปัญหาเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และแน่นอนหนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นปัญหาทุนเทาหรือธุรกิจสีเทา คำว่า “เทา” ดึงดูดให้ผู้คนหันมาสนใจการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ เพราะทุนเทากำลังสร้างปัญหาหนักให้สังคมไทย เราจึงเห็นนักการเมือง/พรรคการเมืองบางพรรคชูประเด็น “ไม่เทา”
บุหรี่ไฟฟ้าถูกมองตรงกันว่าเป็น “ธุรกิจสีเทา” จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่เป้าประสงค์กลับตรงกันข้าม ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามมาตั้งแต่ปลายปี 2557 แต่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งพยายามผลักดันจะให้ถูกกฎหมาย มีการยื่นเรื่องต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้ตรวจสอบการห้าม หรือร้องเรียนไปยังกระทรวงพาณิชย์ให้ทบทวนประกาศกระทรวงที่ห้ามนำเข้า รวมทั้งการผลักดันในสภาผู้แทนราษฎร
ฝ่ายสนับสนุนให้ถูกกฎหมาย ให้เหตุผลว่าการห้ามทำให้เกิดการลักลอบซื้อขาย มีผู้มีอิทธิพลเกี่ยวข้อง การเป็นสินค้าถูกกฎหมายจะแก้ปัญหาธุรกิจสีเทา แก้ปัญหาทุจริตจากการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายได้ อีกทั้งรัฐยังมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีด้วย
อ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่า ผู้สูบควรมีสิทธิเลือกสูบได้เท่ากันทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า การห้ามบุหรี่ไฟฟ้าเป็นการลิดรอนสิทธิของผู้สูบ ให้ดูตัวอย่างประเทศพัฒนาหลายประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ชี้แนะให้ทันโลกโดยปรับแก้กฎหมายให้ทันสมัย
ฝ่ายไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า มองว่า 1) ประเทศไทยต้อง ทันโลก องค์กรระดับโลกทั้งธนาคารโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การสหประชาชาติ (UN) ล้วนไม่เอาบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า ธนาคารโลกไม่สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ จากยาสูบ WHO และ UN ก็ชี้แนะห้ามและให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
2) รัฐต้องลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสุขภาวะที่เป็นธรรมโดยมองถึง ความเสมอภาคด้านสุขภาพ (health equity) การสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้าทำให้ครัวเรือนยากจนมีเงินน้อยลงสำหรับสิ่งจำเป็น เช่น อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัยและการศึกษา จะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
รัฐบาลก็จะมีภาระในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่สภาพัฒน์ก็เตือนว่าการคลังของประเทศใกล้จุดวิกฤติแล้ว อีกทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็มีปัญหาด้านการเงิน
3) มีหลักฐานว่าบริษัทบุหรี่ใช้เล่ห์เหลี่ยมบ่อนทำลายการควบคุมยาสูบของประเทศต่างๆ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าและซื้อขายบุหรี่ผิดกฎหมายทั่วโลก เป็นธุรกิจสีเทา วิ่งเต้นผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย ซึ่งหมายรวมถึงนักการเมืองและข้าราชการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ด้วยเหตุ “ธุรกิจสีเทา” นี้เอง สังคมควรตรวจสอบให้ได้คำตอบชัดเจนว่าอะไรเป็นเหตุให้คณะกรรมาธิการที่ศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าถึง 3 คณะในสภาผู้แทนราษฎรให้ข้อสรุปที่ตรงกับความต้องการของบริษัทบุหรี่ได้ ทั้งๆ ที่กระทรวงสาธารณสุข ประชาคมแพทย์ เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพ เครือข่ายนักเรียนนักศึกษา ครูและผู้ปกครองทั่วประเทศคัดค้านไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า
WHO ระบุชัดว่าการเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมของอุตสาหกรรมยาสูบเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นต่อความสำเร็จในการควบคุมยาสูบ มีการศึกษารวบรวมให้เรียนรู้และเรียกร้องให้ต่อสู้อย่างจริงจังโดยกำหนดมาตรา 5.3 ไว้ในกฎหมายควบคุมยาสูบโลก (WHO FCTC) เพื่อป้องกันการแทรกแซง ปลายปี 2566 ก็รณรงค์ “STOP THE LIES” ให้โลกรับรู้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง
กระนั้น สภาผู้แทนราษฎรของไทยก็ยังเปิดช่องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบเข้าไปนั่งพิจารณากำหนดนโยบายควบคุมยาสูบของประเทศ ปัจจุบันมีประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ห้ามบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว 6 ประเทศ คือ บรูไน กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
สิงคโปร์ห้ามปี 2561 เวียดนามเพิ่งห้ามต้นปี 2568 ช่วงปี 2563-2567 ทั่วโลกมีห้ามเพิ่มขึ้นจาก 32 เป็น 42 ประเทศ มาเลเซียออกข่าวไม่นานนี้ว่าจะห้ามกลางปี 2569 ขณะที่ประเทศไทยกลับมีข่าวนักการเมือง (บางคน) /พรรคการเมือง (บางพรรค) ผลักดันจะแก้ให้ถูกกฎหมาย
บุหรี่ไฟฟ้าเป็นปัญหาวิกฤติสุขภาพที่กำลังบ่อนทำลายฐานรากเศรษฐกิจและสังคมไทย บุคคลสำคัญอย่างอาจารย์ป๋วยมองว่าสุขภาพต้องมาก่อนรายได้จากภาษียาสูบ Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลก็มองว่า “รายได้” เป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่นำไปสู่ความสำเร็จ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “สมรรถภาพ” (capabilities) ของบุคคล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งการศึกษาและสุขภาพ
การสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าก็คือ สนับสนุนธุรกิจสีเทา สร้างความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ นอกจากไม่ทันโลกแล้ว ยังฉุดรั้งความเจริญของประเทศด้วย
จากการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองล่าสุดโดยนิด้าโพล พบว่าประชาชนร้อยละ 40 ยังหาบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ร้อยละ 32 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ และพบตัวเลขสูงขึ้นในเขต กทม. นั่นคือผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด ทุกพรรคจึงมีสิทธิได้คะแนนเสียงจากกลุ่มนี้
ทุกวันนี้คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยก็อยู่อันดับท้าย ๆ ของโลกแล้ว หากบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย อนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อพบว่ามีการผสมยาเสพติดด้วย?
นโยบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและอนาคตของประเทศชาติโดยตรง หากเปลี่ยนไปในทางลบจะส่งผลกระทบเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ผู้ออกเสียงลงคะแนนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ตัดสินใจจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรโหวตให้พรรคการเมืองใดจากนโยบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า







