อยู่กับความเครียด | เส้นทางแห่งผู้นำ

อยู่กับความเครียด | เส้นทางแห่งผู้นำ

ความเครียดไม่ใช่สิ่งไม่ดี เพราะสมองมนุษย์นั้นวิวัฒนาการมาให้รับมือกับความเครียดอยู่แล้ว สิ่งที่ผู้นำควรหลีกเลี่ยงจึงไม่ใช่ความเครียด แต่เป็น “ความเครียดเรื้อรัง” คือการตกอยู่ในภาวะเครียดเดิมๆ นานเกินไป กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลับไม่ได้ไปไม่ถึง ย้ำคิดย้ำทำ

ข่าวพี่น้องชาวหาดใหญ่ อ่านแล้วก็สงสาร อ่านนานก็ยิ่งเครียด เลยเอาเรื่องนี้มาฝากเป็นกำลังใจเล็กๆ ครับ

จริงๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับสมองไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ความเครียด” เสียทีเดียว แต่ขึ้นกับ “ลักษณะ” ของความเครียด

ความเครียดไม่ใช่สิ่งไม่ดี เพราะสมองมนุษย์นั้นวิวัฒนาการมาให้รับมือกับความเครียดอยู่แล้ว ตัวอย่างง่ายๆ บรรพบุรุษของเราที่ ‘เครียด’ ต่อการมาของเสือ มีแนวโน้มจะอยู่รอดได้นานกว่าคนที่ไม่รู้ร้อนหนาวต่ออันตรายใกล้ตัว มันเป็นตัวกระตุ้นให้เรากระฉับกระเฉง ทำให้บรรลุเป้าหมายยากๆ ได้ก่อนคนอื่น

สิ่งที่ผู้นำควรหลีกเลี่ยงจึงไม่ใช่ความเครียด แต่เป็น “ความเครียดเรื้อรัง” คือการตกอยู่ในภาวะเครียดเดิมๆ นานเกินไป กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลับไม่ได้ไปไม่ถึง ย้ำคิดย้ำทำ

สมองส่วนหนึ่งของเรามีชื่อว่า Hypothalamus เปรียบเสมือนแม่ทัพใหญ่ของสมองเพราะอะไรๆ ก็ต้องยิงผ่านสมองส่วนนี้ มันทำหน้าที่ควบคุมเรื่องสำคัญๆ หลายอย่างเช่น อุณหภูมิร่างกาย การเต้นของหัวใจ ความดัน การนอนหลับ ฯลฯ เวลาเรามี “ความเครียดเรื้อรัง” สมองส่วนนี้จะถูกโจมตีด้วยสารต่อต้านความเครียด (cortisol) จนบางครั้งเซลส์ตายก็มี ส่งผลต่อความสามารถในการคิดและตัดสินใจของเรา

จุดเริ่มต้นของการรับมือกับความเครียดคือ แยกให้ออกว่าเรากำลัง “เครียด” เฉยๆ หรือ “เครียดเรื้อรัง”

ถ้าเครียดเฉยๆ เช่น อยู่ด้วยกันมานานทะเลาะกันมั่ง เห็นต่างแต่ไม่เห็นแตก มีเป้าหมายที่ท้าทายไม่เคยทำมาก่อน อันนี้ไม่เป็นไร ดีเสียอีกสมองจะได้กระตือรือร้น

แต่ถ้าเครียดเรื้อรัง ทะเลาะกันอยู่ได้ทุกวัน บางทีกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นั้น ไม่มีทางออกเอาเสียเลย เช่น งานที่ไม่บอกให้ชัดว่าจะเอาไงแน่ เป้าหมายที่ยังไม่รู้ว่าจะถึงได้อย่างไร หัวหน้าที่ทำอะไรไม่รู้เยอะแยะมากมายแต่ไร้สาระ หรือระบบที่ขั้นตอนซับซ้อนล่าช้าไร้เหตุผล สำคัญคือรู้สึกว่าเป็นอย่างนี้มานานแล้วไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นซะที

การเครียดเรื้อรังนี่แหละ มีผลอย่างมากต่อร่างกายและภาวะผู้นำของมนุษย์ ผลลัพธ์สุดท้ายคือสภาพที่สมองยอมจำนนต่อสถานการณ์และยอมที่จะหยุดคิด ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ Learned Helplessness แปลตรงตัวคือ การยอมรับสภาพที่ไร้ทางออก เป็นอาการ “หยุดคิด” และ “หยุดหวัง”

ทางออกคือ จงจำไว้ว่าเราไม่ได้จะกำจัดความเครียด แค่กำจัดความ “เรื้อรัง”

แนวทางที่ 1: เปิดใจ เอาสิ่งที่เครียดออกมาพูด

ความเครียดเรื้อรังหลายครั้งเกิดจากการคิดไปเองของมนุษย์ ลูกน้องมักคิดเองว่าหัวหน้าต้องรู้สึกหรือมีคำตอบแบบนี้โดยไม่เคยถาม วิธีหนึ่งในการทำให้ความเครียดระยะยาวกลายเป็นเรื่องระยะสั้น คือเอามันออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมา ผลจะลบหรือบวกอย่างน้อยก็จบ

แนวทางที่ 2: สร้างวิสัยทัศน์ที่จูงใจ

ความเครียดเรื้อรังสำหรับคนในทีมบางทีเกิดจากการไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปไหน ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะสมองเป็นเพื่อนสนิทกับอดีตแต่ไม่ค่อยอยากคบกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง สำหรับผู้นำการไม่พูดอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะคุณรู้ว่าเรือลำนี้กำลังแล่นไปทางใด แต่ผู้ตามนั้นต้องการอะไรที่จับต้องได้ไว้เตือนสมอง

แนวทางที่ 3: ตั้งเป้าหมายระยะสั้นเพื่อทำให้สำเร็จ

หากความเครียดเป็นมุมแดง ความสำเร็จคงเปรียบเหมือนมุมน้ำเงิน ดังนั้นการถ่วงดุลความเครียดไม่ให้เรื้อรังคือให้สมองได้ประสบกับความสำเร็จบ้าง อย่าลืมว่าสิ่งที่ “เสร็จ” กับสิ่งที่ “สำเร็จ” ไม่เหมือนกัน งานเสร็จคือคนทำรู้สึกว่าหมดไปอีกหนึ่งเรื่อง งานสำเร็จคือคนทำรู้สึกภูมิใจและกระตือรือร้นที่จะทำงานต่อไป ผู้นำมีหน้าที่ทำให้เขารู้สึกอย่างหลัง

ไม่รู้คอลัมน์วันนี้จะมีประโยชน์แค่ไหน แต่ได้เขียนระบายแล้วความเครียดของผมก็ลดลงไปบ้าง

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ