ไม่ดื่มเหล้า ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ทำไม?ยังเป็น 'ไวรัสตับอักเสบอี'

ไม่ดื่มเหล้า ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ทำไม?ยังเป็น 'ไวรัสตับอักเสบอี'

กินอาหารดี ปรุงสุก  ใช้ชีวิตดี ออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้า ก็สามารถเป็น “โรคตับอักเสบอี” ได้ เพราะโรคนี้ติดต่อผ่าน การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบอี

KEY

POINTS

  • "ตับอักเสบอี" ในประเทศไทย พบเป็นรายๆ ไม่พบการระบาดหมู่มาก โดยติดมาจากการรับประทานอาหารและดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบอี
  • แหล่งเสี่ยงพบได้บ่อย คืออาหารที่ไม่ผ่านความร้อนเพียงพอ เช่น หมูกระทะ ใช้ตะเกียบคีบหมูที่ไม่สุกและมาคีบเข้าปาก เครื่องในหมู ลาบดิบ ก้อยดิบ อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ 
  • ป้องกันตับอักเสบอีสามารถทำได้ง่ายๆ อย่าง รับประทานอาหารปรุงสุกเท่านั้น โดยเฉพาะเนื้อหมู เครื่องในหมู ดื่มน้ำสะอาดและล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธี

กินอาหารดี ปรุงสุก  ใช้ชีวิตดี ออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้า ก็สามารถเป็น “โรคตับอักเสบอี” ได้ เพราะโรคนี้ติดต่อผ่าน การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบอี โดยที่เราก็ไม่ทราบได้ว่าอาหารที่รับประทาน เนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกแล้ว มีการปนเปื้อนหรือไม่ ? หรือน้ำดื่มที่เรารับประทานเข้าไป

“ตับอักเสบอี” เป็นภาวะอักเสบของตับที่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบอี  (Hepatitis E virus หรือ HEV) ไวรัสนี้แพร่เชื้อทางอุจจาระของผู้ติดเชื้อและเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปาก ติดต่อส่วนใหญ่ผ่านน้ำดื่มที่ปนเปื้อน การติดเชื้อมักหายได้เองและหายได้ภายใน 2-6 สัปดาห์ โรคร้ายแรงที่เรียกว่าตับอักเสบเฉียบพลัน (Fulminant hepatitis) อาจเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

RSV นอกฤดูกาล ย้ำ ‘เด็กคลอดก่อนกำหนด – กลุ่มเสี่ยง’ ต้องป้องกัน

43% ของ'คนรุ่นใหม่ทั่วโลก' ไม่สามารถนอนหลับได้เต็มที่

'ไวรัสตับอักเสบอี' เกิดจากอะไร?

ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โพสผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว Yong Poovorawan ระบุว่า ตับอักเสบอี ที่ประชากรไทยควรรู้ เพื่อจะได้ไม่ตื่นตระหนก กับ ข่าวตับอักเสบอี โดยไวรัสตับอักเสบอี ไม่ใช่โรคใหม่ ศูนย์ไวรัสจุฬาฯ ได้ศึกษามานานแล้ว และมีข้อมูลมากมาย รวมทั้งวิธีการตรวจได้อย่างรวดเร็ว ตรวจเช้าได้เย็น ด้วยการตรวจ RNA ไวรัส มีความถูกต้องแม่นยำสูง

“ไวรัสตับอักเสบอี ก่อให้เกิดโรคแบบเฉียบพลัน ได้เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบตัวอื่นๆ เช่น A, B และ C  อาการแบบเฉียบพลันไม่แตกต่างกันมาก มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย ท้องเสียและ และมีตัวเหลืองตาเหลือง เอนไซม์ตับสูง”

ทั้งนี้ ไวรัสตับอักเสบอี ในประเทศไทย ที่พบจะพบเป็นรายๆ ไม่พบการระบาดหมู่มาก เหมือนในประเทศที่สุขอนามัยไม่ดี เช่น แอฟริกา อินเดีย

สายพันธุ์ที่พบในไทยเป็นสายพันธุ์ที่ 3  มีแหล่งรังโรคอยู่ใน หมู

การติดต่อที่สำคัญจึงเป็นการติดต่อทางการรับประทาน เชื้อที่ปนเปื้อนกับอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหมู ไม่สุก เช่น การรับประทานหมูกระทะ และใช้ตะเกียบคีบหมู เพื่อปิ้ง ย่าง และใช้ตะเกียบอันเดียวกัน ครีบอาหารเข้าปาก ซึ่งอาจจะปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบ E เข้าไป ในหมูกระทะ เนื้อหมูไม่ได้มาจากหมูตัวเดียว จะมาจากหมูเป็นจำนวนมากหลายตัวผสมกัน หรือปนเปื้อนกัน จึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูง มากกว่าการกินจากหมูตัวเดียว และกินอาหารที่สุกสะอาด

ส่วนตัวเคยรักษาผู้ป่วยหลายราย ที่มีประวัติชัดเจนไปรับประทานหมูกระทะ หรือเกี่ยวข้องสัมผัสกับหมู

อีกวิธีหนึ่งที่อาจจะติดต่อกันได้ คือรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือด จากผู้บริจาคที่มีเชื้อแบบไม่มีอาการ เพราะการติดเชื้อในผู้ที่แข็งแรงดีจำนวนหนึ่งจะไม่มีอาการ และร่างกายก็จะกำจัดเชื้อให้หมดไปเอง การรับเลือดจำนวนมากให้กับผู้มีภูมิต้านทานต่ำ ควรขอเลือดจากศูนย์ ที่ผ่านการตรวจไวรัสตับอักเสบ E

โรคนี้ไม่มียารักษา ถ้าวินิจฉัยได้เร็วก็ไม่จำเป็นต้องให้ยามากมาย โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะหลายอย่าง เพียงรักษาตามอาการ หรือในรายที่รุนแรง การให้ยาต้านไวรัสอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ เพราะยาก็มีอาการข้างเคียง เราจะให้ในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำเท่านั้น

โรคนี้ในประเทศไทยเสียชีวิตต่ำมากฯ  ส่วนใหญ่ที่รุนแรงและเสียชีวิตจะเป็นผู้ที่มีมีภูมิต้านทานต่ำ กินยากดภูมิต้านทาน หรือโรคเรื้อรังที่ทำให้มีภูมิต้านทานลดลง

ติดเชื้อจากอาหารและดื่มน้ำที่ปนเปื้อน

รศ.นพ.ศิษฏ์ ศิรมลพิวัฒน์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ และคณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีมักติดต่อจากทางการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากอุจจาระ หรือการรับประทานเนื้อหมู เครื่องในหมู หรืออาหารสุกๆดิบๆ รวมถึงการสัมผัสสัตว์หรือวัตถุดิบจากสัตว์ที่มีเชื้อ

โดยในประเทศไทย แหล่งเสี่ยงพบได้บ่อยคืออาหารที่ไม่ผ่านความร้อนเพียงพอ เช่น เครื่องในหมู ลาบดิบ ก้อยดิบ หรืออาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ซึ่งอาจมีเชื้อปนเปื้อนอยู่โดยไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

การแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบอี

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีพบได้ทั่วโลกและพบได้บ่อยในประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางซึ่งมีน้ำประปา สุขาภิบาล สุขอนามัย และบริการสุขภาพที่จำเป็นอย่างจำกัด การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นเป็นการระบาดหรือเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ไวรัสตับอักเสบอีมีจีโนไทป์หลัก 4 ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ (จีโนไทป์ 1, 2, 3 และ 4) จีโนไทป์เหล่านี้มีเส้นทางการแพร่เชื้อและการกระจายทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน จีโนไทป์ 1 และ 2 ติดเชื้อในมนุษย์เป็นหลัก

ขณะที่จีโนไทป์ 3 และ 4 ติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นหลัก และทำให้เกิดโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนในมนุษย์ได้เป็นครั้งคราว  ผ่านการบริโภคเนื้อสัตว์ดิบหรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก และสภาพแวดล้อมก็อาจเป็นแหล่งที่มาของการติดเชื้อได้เช่นกัน

จีโนไทป์ 1 และ 2 ซึ่งเป็นจีโนไทป์ของไวรัสตับอักเสบชนิดรุนแรง (HEV) ที่แพร่หลายที่สุดในแอฟริกาและบางส่วนของเอเชีย ส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านทางอุจจาระและปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปนเปื้อนของน้ำดื่มมักนำไปสู่การระบาดในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายร้อยถึงหลายพันคน การระบาดเหล่านี้บางส่วนเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งและเหตุฉุกเฉินด้านมนุษยธรรม เช่น เขตสงครามและค่ายผู้ลี้ภัยหรือประชากรพลัดถิ่นภายในประเทศ ซึ่งสุขอนามัยและแหล่งน้ำที่ปลอดภัยเป็นความท้าทายพิเศษ

สัญญาณเตือนอาการที่ควรรู้ 

ระยะฟักตัวหลังจากสัมผัสกับไวรัส HEV อยู่ระหว่าง 2 ถึง 10 สัปดาห์ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ถึง 6 สัปดาห์ ผู้ติดเชื้อจะขับเชื้อไวรัสออกมาตั้งแต่ไม่กี่วันก่อนเริ่มป่วยจนถึง 3-4 สัปดาห์หลังเริ่มมีอาการ

ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคสูง การติดเชื้อแบบมีอาการมักพบมากที่สุดในผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวอายุ 15-40 ปี ในพื้นที่เหล่านี้ แม้ว่าการติดเชื้อจะเกิดขึ้นในเด็กได้ แต่ก็มักไม่ได้รับการวินิจฉัย เนื่องจากมักไม่มีอาการ หรือมีอาการป่วยเล็กน้อยโดยไม่มีอาการตัวเหลือง

อาการและสัญญาณทั่วไปของโรคตับอักเสบ :

  • ระยะเริ่มแรกมีไข้ต่ำ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นเวลาไม่กี่วัน
  • อาการปวดท้อง, คัน, ผื่นผิวหนัง หรือ ปวดข้อ;
  • โรคดีซ่าน (ตัวเหลือง) ปัสสาวะสีเข้มและอุจจาระสีซีด และ
  • ตับโตเล็กน้อยและเจ็บ (hepatomegaly)

อาการเหล่านี้อาจแยกไม่ออกจากอาการที่พบในโรคตับอักเสบชนิดอื่นๆ หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ ในพื้นที่ที่มีการระบาด เช่น โรคเลปโตสไปโรซิส ไข้เลือดออก ไข้เหลือง และมาลาเรีย โดยทั่วไปอาการจะคงอยู่ 1–6 สัปดาห์

แม้ว่าไวรัสตับอักเสบอีมักถูกมองว่าเป็นโรคเฉียบพลันที่หายได้เอง แต่ในบางกรณีที่พบได้ยาก ไวรัสตับอักเสบอีเฉียบพลันอาจรุนแรงและส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบรุนแรง (ตับวายเฉียบพลัน) ผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี โดยเฉพาะในไตรมาสที่สองหรือสาม มีความเสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน การสูญเสียทารกในครรภ์ และการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น หญิงตั้งครรภ์มากถึง 20-25% อาจเสียชีวิตหากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีในไตรมาสที่สาม

ในบางกรณี พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีเรื้อรังในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและใช้ยาภูมิคุ้มกันบกพร่อง

การรักษาไวรัสตับอักเสบอี

• ในผู้ป่วยทั่วไป โรคนี้มักหายได้เอง การรักษาส่วนใหญ่เป็นแบบประคับประคอง เช่น พักผ่อน ดื่มน้ำมากขึ้น และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาที่อาจทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้น

• ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเฉพาะทาง เช่น ribavirin

ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบอีได้ง่ายๆ

1. รับประทานอาหารปรุงสุกเท่านั้น โดยเฉพาะเนื้อหมู เครื่องในหมู และอาหารที่เสี่ยงปนเปื้อน

2. ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำที่ผ่านการต้มสุกหรือบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน

3. ล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธี ก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังสัมผัสสัตว์

ไวรัสตับอักเสบอีมีวัคซีนป้องกันหรือไม่?

ปัจจุบัน “ยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีในประเทศไทย” ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือ การบริโภคอาหารปรุงสุก ล้างมือ และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์หรือเครื่องในที่ไม่ผ่านความร้อนตามมาตรฐาน

อ้างอิง: องค์การอนามัยโลกYong Poovorawan ,สมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย