ประหยัดเงินรัฐแสนล้านบาทด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้สำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายระหว่างปี 2567-2568

พบว่าคนไทยมีแนวโน้มเป็นโรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพิ่มขึ้น ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโดยเฉพาะภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไทยทำตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่ได้

WHO กำหนดว่าในปี 2568 ไทยต้องลดคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงลงให้เหลือ 25% แต่คนไทยที่เป็นโรคนี้ยังมีถึง 29.5% (17.5 ล้านคน) คนป่วยโรคเบาหวานต้องลดให้เหลือ 7.3% ไทยยังมี 10.6% (6.1 ล้านคน) คนป่วยโรคอ้วนให้เหลือ 36.3% แต่คนไทยยังมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนสูงถึง 45% (27.4 ล้านคน)

โรค NCD ทั้งหมดนี้ทำให้คนไทยสุขภาพกายไม่ดี รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายดูแลรักษาเป็นเงินจำนวนมากในแต่ละปี และเมื่อสุขภาพไม่ดีก็มีผลต่อการทำงาน อาชีพ และรายได้ของประชาชน อันมีผลสืบเนื่องไปถึงปัญหาทางสังคมและสุขภาพจิตตามมา

งานสำรวจนั้นได้ชี้ให้เห็นด้วยว่าคนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น กิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ อ้วน สูบบุหรี่ ดื่มสุรา มีแนวโน้มป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มวัยต่ำกว่า 40 ปี

เมื่อพูดถึงกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ผู้เขียนก็ขอย้อนกลับไปประมาณ 40 กว่าปีก่อน ที่มีกลุ่มคนซึ่งเล็งเห็นถึงปัญหาคนไทยไม่ออกกำลังกายและติดบุหรี่มากเกินควร ได้จัดทำโครงการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่โดยวิ่งผลัดทางไกลจาก 4 ทิศเข้ากรุงเทพฯ

นำโดย ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างวิ่งทุกทีมจะสื่อสารสิ่งที่ต้องการบอกกล่าวไปตามสื่อต่างๆ ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติเพื่อบอกประชาชนคนไทยให้หันมาออกกำลังกาย งดเหล้างดบุหรี่ ซึ่งได้รับความสนใจมากทีเดียว

ในช่วงนั้นนอกจากงานวิ่งรณรงค์ครั้งนี้ หลายกลุ่มก็เริ่มจัดวิ่งการกุศลตามท้องถนนในเมือง ที่เน้นสุขภาพและความสนุกสนาน ไม่มีการแข่งขัน ถึงมีก็แค่แจกถ้วยนิดๆหน่อยๆ ไม่มีเงินรางวัล เป็นการรณรงค์ให้คนออกมาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมทางกาย มิให้เนือยนิ่งอันเป็นสาเหตุหลักให้เกิดโรค NCD ที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงมาก

สมัยนั้นงานวิ่งที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายก็เช่นงานวิ่ง UN Day Run หรือวิ่งวันสหประชาชาติ งานวิ่งจามจุรี 9K ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานวิ่งเขาสามมุขครึ่งมาราธอน ของโรงพยาบาลชลบุรี แล้วก็มาถึงงานวิ่งที่ยิ่งใหญ่สุดในสมัยนั้น คือ งานวิ่งนานาชาติกรุงเทพมาราธอน

นำโดย พลเอกพิจิตร กุลละวณิช นายกสมาคมนักวิ่งเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย ทำให้เกิดความตื่นตัวและกระแสสังคมด้านนี้มากขึ้นๆ จนปัจจุบันมีการจัดงานวิ่งในแทบทุกจังหวัด และในทุกเดือนของทั้งปี

ในสมัยเริ่มแรกนั้นเช่นกันที่หมอกฤษฎา บานชื่น ได้แต่งตำราเกี่ยวกับการวิ่งเพื่อสุขภาพขึ้นเป็นเล่มแรกของเมืองไทย จากนั้นผู้เขียนได้ขยายแนวคิดด้านสุขภาพที่ทุกคนมีสิทธิ์ร่วมกิจกรรมได้  โดยได้หันมารณรงค์เรื่องจักรยานมากขึ้น มีการก่อตั้งชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อปี 2534 นับถึงปีนี้ก็ 34 ปีแล้ว และชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพชลบุรี ในปีถัดมา

น่าดีใจและภูมิใจที่มาถึงปัจจุบันมีชมรมจักรยานหรือกลุ่มจักรยานขึ้นทั่วประเทศ แต่ก็ยังมีข้อฉุกคิดอยู่ว่าในช่วงเริ่มแรกนั้นคนไทยยังไม่“อิน”กับการเอาจักรยานมาเสริมสร้างสุขภาพ หลายคนจึงต้องใช้กลยุทธ์เอาเหยื่อล่อให้ติดกับ กล่าวคือ ใช้ความสนุกมาเป็นตัวนำก่อน ซึ่งนั่นก็คือ การท่องเที่ยวด้วยจักรยานที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง มีคนใช้จักรยานมากขึ้นจริง

ปัจจุบันจึงมีการตั้งชมรมหรือกลุ่มนักจักรยาน เพื่อนันทนาการและการท่องเที่ยวกันทั่วไป และมีมากกว่ากลุ่มการใช้จักรยานในวิถีชีวิตประจำวันของชุมชนเสียด้วยซ้ำ ทั้ง ๆที่กลุ่มหลังนี้แก้ปัญหาได้จริง ทั้งด้านสุขภาพกาย-ใจ สภาพทางสังคม รวมทั้งลดการใช้พลังงาน มลพิษ และปัญหาโลกร้อน และอื่นๆ ได้อีกด้วย

แต่การเป็นชมรมนักจักรยานเพื่อความสนุกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีหรือควรตำหนิเพราะการใช้จักรยานเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ไม่เป็นโรค มีได้หลากหลายรูปแบบตราบที่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ เพียงแต่ประโยชน์อื่นจะได้ไม่เท่าการใช้จักรยานของชาวบ้าน โดยชาวบ้าน เพื่อชาวบ้านนั้น

ผู้เขียนเคยวิเคราะห์อย่างหยาบๆ โดยไม่มีงานวิจัยรองรับ ใช้เพียงวิธีคาดคะเนและประมาณการ เราพบว่าใน 40+ ปีที่ผ่านมากระแสสังคมไทยด้านการวิ่งและการจักรยานเพื่อสุขภาพที่ผู้เขียนมีส่วนร่วมกับคนอีกมากมายผลักดันให้ประชาชนตื่นตัวหันมาดูแลสุขภาพจนสุขภาพดี ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นล้านคนนั้น ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

นั่นหมายความว่า รัฐสามารถลดงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายทางด้านการรักษาพยาบาลของทั้งประเทศเป็นเงินที่สูงมาก ถ้าสมมุติ (เป็นมูลค่าเงินปัจจุบัน) เท่ากับการประหยัดงบทั้งของรัฐและของชาวบ้านเองได้ 2,500 ล้านบาทต่อปี (ซึ่งนี่เป็นการประเมินในขั้นต่ำแล้ว) ดังนั้น ใน 40+ ปีที่พวกเราทำงานนี้กันมาตัวเลขจะสูงถึง 2,500 × 40 = 100,000 หรือแสนล้านบาททีเดียว 

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ไม่เคยคิดก็ต้องคิดแล้วว่ากิจกรรมเพื่อสุขภาพของประชาชน โดยประชาชนเพื่อประชาชนนั้นดีต่อบ้านเมืองจริง ก็ประหยัดไปได้ถึงแสนล้านบาทจะไม่ดีได้อย่างไร จริงไหมครับ