เมื่อคนไทยอายุยืนกว่าสุขภาพและเงินที่มี

เมื่อคนไทยอายุยืนกว่าสุขภาพและเงินที่มี

สัปดาห์ที่แล้วมี FC แชร์ข้อเขียนมาให้อ่านเรื่อง longevity paradox คือ ความขัดแย้งที่มากับอายุยืน ที่คนอายุยืนอาจไม่มีสุขภาพดีพอที่จะมีความสุขกับช่วงอายุที่นานขึ้น

โดยข้อเขียนพูดถึงคนที่มีเงิน คือ เศรษฐีที่จะ “ลงทุน” เรื่องสุขภาพของตัวเองมากเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในวันเวลาที่เหลืออยู่ ที่คงจะนานขึ้นจากความร่ำรวยที่มี ซึ่งก็เข้าใจได้ 

ผมอ่านแล้วนึกถึงคนสูงวัยส่วนใหญ่ในบ้านเราที่ไม่มีเงินหรือไม่มีเงินพอ ว่าจะอยู่อย่างไรอย่างมีคุณภาพในวันเวลาที่เหลืออยู่ เป็นประเด็นนโยบายสาธารณะที่สำคัญ และนี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ประเทศไทยขณะนี้เป็นสังคมสูงวัยเต็มขั้นคือสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ และคงเป็นสังคมสูงวัยแบบซูเปอร์อีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้าเมื่อ 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรมีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่นอนและจะส่งผลทางเศรษฐกิจมาก

ลักษณะสําคัญของสังคมสูงวัยไทยขณะนี้มีสองเรื่อง 1.เป็นสังคมสูงวัยที่อายุยืน คือ อายุขัยคนไทยสูงกว่าระดับเฉลี่ยของโลก ล่าสุดอยู่ที่ 76.4 ปีเมื่อปี 2566 และอายุขัยคนไทยเพิ่มขึ้นเร็วมากในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา คือ เพิ่มขึ้น 25.8 ปี จากปี 2503-2566 เป็นผลจากระบบสาธารณสุขของประเทศที่ดี ที่มีการลงทุนต่อเนื่องและกระจายไปทั่ว

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ โภชนาการที่ดีขึ้น และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเริ่มปี 2543 ที่คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ปัจจัยเหล่านี้ทําให้อายุขัยคนไทยเพิ่มขึ้นเร็วกว่าระดับเฉลี่ยของโลก และคงเพิ่มขึ้นต่อไป

2.ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยที่คนสูงวัยส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม ไม่มีทรัพย์สิน ขาดรายได้พอที่จะเลี้ยงดูตัวเอง ต้องพึ่งคนอื่น ทำให้ชีวิตเมื่อสูงวัยลำบาก มีผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต ตัวเลขล่าสุดชี้ถึงปัญหาที่น่าห่วง คือ ร้อยละ 40-66 ของคนสูงวัยในประเทศเราไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงดูตัวเอง

ประมาณครึ่งหนึ่งของคนสูงวัยไม่มีเงินออม มีแต่หนี้ และร้อยละ 34 มีความเป็นอยู่ตํ่ากว่าระดับความยากจน เป็นข้อมูลที่น่าตกใจ ที่คนหนึ่งในสามของประเทศที่ทำงานมาทั้งชีวิต มีส่วนร่วมทําให้เศรษฐกิจประเทศเติบโต แต่ท้ายสุดมีชีวิตที่ลําบากยากจน และคงจะจากไปแบบนี้คือไม่มีอะไรเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจที่ขยายตัวตํ่า ความเหลื่อมลํ้าที่มาก การศึกษา โอกาสทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง และระบบบำนาญที่ไม่ได้ถูกออกแบบมารองรับสังคมอายุยืน ทําให้คนสูงวัยประเทศเรา แม้อายุจะยืนกว่าคนประเทศอื่น แต่ไม่มีรายได้พอและสุขภาพที่ดีพอที่จะมีชีวิตในบั้นปลายอย่างมีคุณภาพ ทำให้คนไทยอายุยืนกว่าสุขภาพและเงินที่มี

ในแง่นโยบายสาธารณะ ความท้าทายคือ ทำอย่างไรที่จะหาประโยชน์จากสังคมอายุยืน ให้คนอายุยืนหรือคนสูงวัยมีชีวิตในบั้นปลายที่มีคุณภาพ และยังสามารถมีส่วนช่วยสังคมและเศรษฐกิจได้

ในบทความ ทําไมสังคมต้องปรับให้เข้ากับชีวิตคนที่อยู่นานขึ้น (Why society must adapt to our longer lives) เผยแพร่โดย World Economic Forum ตั้งประเด็นว่า ความขัดแย้งระหว่างอายุยืนกับคุณภาพชีวิตเป็นผลจากพฤติกรรมและวิธีปฏิบัติในสังคมที่ปัจจุบันไม่สอดคล้องกับสังคมอายุยืนในสามเรื่องคือ การทํางาน การออม และการรักษาสุขภาพ

สิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยนเมื่อสังคมอายุยืนขึ้น และสามเรื่องนี้ ถ้าทำไม่ถูก ก็คือความเสี่ยงเชิงระบบต่อความยั่งยืนของสังคม

เริ่มจากการทำงาน สังคมปัจจุบันกำหนดให้ผู้ที่ทำงานทั้งในภาคราชการและเอกชน หยุดทำงานเมื่ออายุ 60 ปี ทั้งที่คนส่วนใหญ่ในวัยนี้ยังต้องการทํางานต่อ การหยุดทำงานคือการขาดรายได้ ไม่มีเงินที่จะออม และสําหรับสังคมคือ การสูญเสียความรู้และประสบการณ์ของกําลังเเรงงานของประเทศที่สะสมมา

ในสังคมอายุยืน การมีงานทํา มีรายได้ของคนสูงวัยเป็นสิ่งที่ต้องสนับสนุนเพื่อให้คนสูงวัยสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระต่อผู้อื่นหรือภาครัฐ ถือเป็นนโยบายหลักที่ภาครัฐต้องทําเพื่อดูแลและหาประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีค่าของประเทศ นั้นคือ ความรู้และประสบการณ์ของคนในประเทศ ไม่ให้สูญเปล่า เช่น ส่งเสริมภาคธุรกิจให้จ้างคนสูงวัยทํางานแม้เลยวัยเกษียณ 

ฝึกทักษะคนสูงวัย (Reskilling) เรื่องดิจิทัลเพื่อลดช่องว่างทั้งเพื่อทํางานและชีวิตประจําวัน รัฐสร้างโอกาสให้คนสูงวัยสามารถช่วยสังคมต่อไปได้ เช่น งานในสวนสาธารณะ ดูแลเด็กและคนชราในชุมชน สอนหนังสือในโรงเรียน ช่วยงานชุมชน เช่นวัด และเป็นอาสาสมัครให้กับมูลนิธิและงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ

บทบาทเหล่านี้จะสร้างพลังของการร่วมกันทำงานของคนต่างวัยในสังคม และเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวไปทําอย่างอื่น ที่จะเป็นประโยชน์มากกว่าต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เรื่องการออม ระบบบำนาญถูกออกแบบมาให้ผู้ที่เกษียณอายุมีชีวิตอย่างเรียบง่ายไปได้อีก 20 ปีโดยไม่ต้องทำงาน ทําให้ที่ผ่านมาไม่มีแรงจูงใจที่คนจะออมเพิ่มในช่วงวัยทำงานเพื่อชีวิตหลังเกษียณ ที่สําคัญระบบไม่ได้นึกถึงภาระที่จะมีต่อระบบบำนาญถ้าคนอายุยืนเป็น 30-40 ปีหลังเกษียณ

ผลคือ คนสูงวัยส่วนใหญ่ออมน้อย ไม่มีเงินเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่ระบบบํานาญก็จะไม่ยั่งยืนถ้าผู้รับบำนาญอายุยืน โดยเฉพาะในภาคราชการ

ด้วยเหตุนี้ การออมจึงต้องเริ่มตั้งแต่เริ่มทํางาน ด้วยระบบการเงินที่มีเครื่องมือสนับสนุนการออมระยะยาว แต่ที่สำคัญ เศรษฐกิจของประเทศต้องขยายตัวดีและทั่วถึงเพื่อให้คนสามารถมีเงินที่จะเก็บออมเพื่อชีวิตหลังเกษียณ

สําหรับภาครัฐ สิ่งที่ควรทําคือ ปรับระบบบํานาญให้ยืดหยุ่นตามอายุขัยคนที่อยู่นานขึ้น และสร้างแรงจูงใจให้มีการลงทุนในธุรกิจที่จะช่วยลดปัญหาที่มากับสังคมอายุยืน

เช่น ศูนย์บริการสุขภาพ สถานพักฟื้น เพื่อลดภาระของรัฐ รวมถึงส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนประกันที่จะลดความเสี่ยงผู้สูงวัยที่อายุยืนว่าจะมีเงินใช้จนสิ้นอายุขัยแม้การออมที่เตรียมไว้จะไม่เพียงพอ คืออายุยืนกว่าเงินออมที่มี

สําหรับการรักษาสุขภาพ ปัจจุบันโรคติดต่อร้ายแรงทางการเเพทย์สามารถควบคุมได้ ที่คนไทยเสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 70 สาเหตุก็มาจากโรคที่ไม่ติดต่อเช่น หัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งการรักษาสร้างภาระต่อระบบสาธารณสุขของประเทศมาก 

ดังนั้น ในสังคมอายุยืน การรักษาสุขภาพต้องมุ่งไปที่การป้องกัน โดยให้ความรู้และส่งเสริมการสูงวัยด้วยสไตล์การใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพ ทั้งโภชนาการ การออกกําลังกาย การหมั่นตรวจสุขภาพที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และใช้พลังชุมชนดูแลช่วยเหลือกันเรื่องสุขภาพ ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่

นี่คือการปรับเปลี่ยนสิ่งที่ทําอยู่เพื่อรองรับสังคมอายุยืน ทำให้คนสูงวัยเป็นพลังไม่ใช่ภาระ ทำให้สังคมสูงวัยอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ

 

เมื่อคนไทยอายุยืนกว่าสุขภาพและเงินที่มี