แผน 5 ปีไทยเป็นศูนย์กลางกัญชงอาเซียน ดัน New S-Curve สู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง

แผน 5 ปีไทยเป็นศูนย์กลางกัญชงอาเซียน  ดัน New S-Curve สู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง

สมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย (Thailand Hemp Trade Association หรือ TiHTA) ร่วมกับบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (NEO)

KEY

POINTS

  • ตลาดกัญชง-กัญชาทั่วโลกในปี 2025 มีมูลค่ากว่า 39,000 ล้านดอลลาร์ และจะเติบโตเฉลี่ย 30 % ต่อปี โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2033
  • ไทยมีศักยภาพสูงในการเป็น “Hub การผลิต และส่งออกกัญชง-กัญชา” ของภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีกฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ระบบการผลิตที่เข้มแข็ง และฐานเกษตรกรรมที่มีคุณภาพ
  • ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรม อำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอย่างครบวงจร ทั้งการตั้งโรงงานแปรรูป การวิจัยและพัฒนา หรือการร่วมทุนใน พื้นที่อุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Industrial Zone)

 

 

สมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย (Thailand Hemp Trade Association หรือ TiHTA) ร่วมกับบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (NEO) จัดงาน Asia International Hemp Expo & Forum (AIHEF 2025) ระหว่างวันที่ 5-7 พ.ย.2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รวบรวมผู้ประกอบการ ผู้ซื้อ ผู้ขาย และนักลงทุนจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานรวม 3 วัน ประมาณ 10,000 คน และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนได้ถึง 1,000 ล้านบาท      

ภูมิใจ ขำภโต นายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย (Thai Industrial Hemp Trade  Association : TIHTA) เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีศักยภาพสูงในการเป็น “Hubการผลิต และส่งออกกัญชง-กัญชา” ของภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีกฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ระบบการผลิตที่เข้มแข็ง และฐานเกษตรกรรมที่มีคุณภาพ

“ประเทศไทยมีศักยภาพครบทุกด้าน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้าง ‘รากฐานมาตรฐานสากล’ ที่สะท้อนคุณภาพ และความพร้อมของอุตสาหกรรม เพื่อก้าวสู่การเป็นฮับกัญชงของโลกได้อย่างยั่งยืน”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

Hemp Expo&Forum สะพัด 1,000 ล้านบาท ยก ‘กัญชา-กัญชง’ ไทยสู่ฮับโลก

AIHEF 2025 ชูไทยสู่ฮับอุตสาหกรรม 'กัญชง–กัญชา–กระท่อม' แห่งเอเชีย

อุตสาหกรรมสุขภาพเติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ในช่วงปีที่ผ่านมาระบุว่า การจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกัญชง และกัญชาในปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการอนุญาตขึ้นทะเบียนในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำนวน 80 รายการผลิตภัณฑ์สมุนไพร จำนวน 12 รายการผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มากถึง 754 รายการ และผู้ประกอบการที่ถือใบอนุญาต ผลิตสารสกัดกัญชา-กัญชงจำนวน 52 ราย

มีการเติบโต และพัฒนา “Dispensary Blueprint” ร้านจำหน่ายสมุนไพรทางการแพทย์ที่ใช้ระบบบริหารจัดการตามใบสั่งแพทย์ ภายใต้มาตรฐานของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ตลอดจนการส่งเสริมฟาร์มผู้ผลิตให้ผ่านมาตรฐาน

GAP/GACP/Thailand Cannabis GACP เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำสำหรับ ผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการปลูก และการเก็บเกี่ยวที่ดีของพืชกัญชา GACP ณ ข้อมูลปัจจุบัน โดย กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก มีจำนวน 149 ราย ทั่วประเทศขยายโอกาสสู่ธุรกิจวัสดุทดแทน และสิ่งแวดล้อม

นอกจากการใช้ในอุตสาหกรรมสุขภาพแล้ว “กัญชง” ยังถูกต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมสีเขียว และวัสดุทดแทน เช่น สิ่งทอและแฟชั่น (Hemp Textile & Fashion)วัสดุทดแทนไฟเบอร์กลาส (Fiberglass Substitute)วัสดุทดแทนใยเคฟลาร์(Kevlar Substitute)เฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้าง (Hempcrete) และพืชสร้างคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Plant)

ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้กำหนด “มาตรฐานอุตสาหกรรมกัญชง” แล้วกว่า 8 มาตรฐาน โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อยกระดับการผลิต และสร้างความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ

แผน 5 ปีไทยเป็นศูนย์กลางกัญชงอาเซียน  ดัน New S-Curve สู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง

ไทยตั้งเป้าศูนย์กลางกัญชงอาเซียน

ข้อมูลจากการคาดการณ์ระบุว่า ตลาดกัญชง-กัญชาทั่วโลกในปี 2025 มีมูลค่ากว่า 39,000 ล้านดอลลาร์ และจะเติบโตเฉลี่ย 30 % ต่อปี โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2033 สำหรับประเทศไทย คาดว่ามูลค่าอุตสาหกรรมกัญชง-กัญชาภายในปี 2025 จะอยู่ที่ 1,700 ล้านดอลลาร์ และจะขยายตัวสู่ 7,100 ล้านดอลลาร์ ในปี 2030 หรือเติบโตเฉลี่ยกว่า 33 % ต่อปีเฉพาะกลุ่ม “วัสดุกัญชงทางเลือก” ก็มีมูลค่าตลาดสูงถึง 47,000 ล้านบาท ในปี 2024 และยังเติบโตต่อเนื่องอีก 15-20 % ต่อปี

ภาสกร ชัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึง “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ : การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมกัญชง กัญชาไทยสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ว่า กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทยที่มีศักยภาพสูง และเป็นที่สนใจของนานาประเทศในฐานะ “พืชอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำแผนปฏิบัติการปี 2566-2570  ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมกัญชงของอาเซียน” ภายใน 5 ปีให้เป็น New S-Curve Industry ที่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานรากสู่ เศรษฐกิจมูลค่าสูง (Value-based Economy) โดยดำเนินการภายใต้แนวทาง BCG Economy Model (Bio, Circular and Green Economy) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืน

เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศ และสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก กระทรวงอุตสาหกรรมได้มุ่งพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับผลิตภัณฑ์กัญชงประเภทต่างๆ รวมทั้งสิ้น 8 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานน้ำมันเมล็ดกัญชง, มาตรฐานสารสกัด CBD (กำหนดความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 30% และไม่เกิน 80%), มาตรฐานวัตถุดิบจากเปลือก แก่น และเส้นใย, รวมถึงมาตรฐานผลิตภัณฑ์กลุ่มวัสดุก่อสร้างอย่าง เฮมป์ครีตบล็อก และเฮมป์พาร์ทิเคิลบอร์ด

หัวใจสำคัญของการพัฒนาคือ การต่อยอดจากวัตถุดิบสู่ ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High-Value Industrial Applications) โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเส้นใย และสารสกัดจากกัญชง ซึ่งสามารถสร้างคุณค่าใหม่ในหลากหลายมิติ ให้แก่ภาคการผลิตของไทย อุตสาหกรรมสิ่งทออัจฉริยะ (Functional Textile) เส้นใยกัญชงสามารถพัฒนาเป็นสิ่งทอเทคนิค และแฟชั่นยั่งยืน ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในยุโรป และเอเชีย

นอกจากนี้ ยังมีการนำเส้นใยกัญชงมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในโครงการยกระดับเทคโนโลยีการผลิต ผลิตภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศ เช่น การผลิตหมวกผจญเพลิง ชุดฝึกทหาร และแผ่นเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย ที่มีคุณสมบัติพิเศษ วัสดุก่อสร้าง และวัสดุทดแทน (Construction & Eco-Materials):ชานกัญชง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบผลิตวัสดุก่อสร้างที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน เช่น แผ่นกันความร้อน และคอนกรีตกัญชง ชิ้นส่วนยานยนต์ และบรรจุภัณฑ์ เส้นใยกัญชงสามารถนำมาผสมร่วมกับวัสดุชีวภาพ เพื่อใช้ทดแทนพลาสติกในชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)ผลิตภัณฑ์สุขภาพ: มีการต่อยอดการใช้สารสกัด CBD และ THC ในกลุ่มสินค้าสุขภาพ เครื่องสำอาง และอาหารเสริม 

“ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรม อำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอย่างครบวงจร ทั้งการตั้งโรงงานแปรรูป การวิจัยและพัฒนา หรือการร่วมทุนใน พื้นที่อุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Industrial Zone) ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางความต้องการวัสดุธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยกัญชงกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในฐานะวัตถุดิบที่ตอบโจทย์แนวคิด Green Supply Chain ของตลาดโลก”

Thai Brand เจาะตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพ

สมศักดิ์ กรีชัย รองอธิบดี กรมการแพทย์แผนไทย และกรมการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่าการดูแล และกำกับการใช้ประโยชน์จากกัญชา- กัญชงเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยเน้นหนักในการกำหนด และยกระดับมาตรฐานเพื่อให้การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปอย่างถูกต้อง และมั่นใจ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่สำคัญ ได้แก่ GCP (Good Clinical Practice) GMP (Good Manufacturing Practice) GLP (Good Laboratory Practice) โดยมีการพัฒนาระบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ (ยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ) กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมถึงการพัฒนาสายงานคลินิกที่มีมาตรฐานทางการแพทย์รองรับ

ยุทธศาสตร์นี้ยังมุ่งเน้นการส่งเสริมนวัตกรรม และการประยุกต์ศาสตร์การแพทย์แผนไทยเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ การใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และสุขภาพถูกขับเคลื่อนผ่านหลายมิติ เช่น เวชศาสตร์เฉพาะทาง มีการนำสารสกัดกัญชาทางการแพทย์มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยในเชิงประคับประคอง 

 รวมทั้งต่อยอดผลิตภัณฑ์ ใช้ตำราพื้นบ้านมาสู่กระบวนการผลิตใหม่เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ทางเลือก สมุนไพรทางเลือก สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์จากกระท่อมเพื่อใช้ทดแทนการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ สร้าง Thai Brand การรวมพลังกันระหว่างภาครัฐ (มาตรฐาน) ภาคเอกชน (เทคโนโลยี/ตลาด) และเครือข่ายนักวิชาการ/การแพทย์ (ความรู้/วิจัย) เพื่อสร้าง “Thai Brand” ด้านสมุนไพรและสุขภาพให้เป็นที่ยอมรับ 

“นี่คือ โอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนงานที่ทำร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจและต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของการสกัด จะสร้างโอกาส และมูลค่าใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์สุขภาพในหลากหลายด้านทั้ง เวชศาสตร์ (Medicine)อาหาร (Food)เครื่องดื่ม (Beverages)การท่องเที่ยว (Tourism) ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนนานาชาติเข้ามาร่วมมือกัน”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์