ทุกข์ใจ...อภัยให้ตนเอง | อาหารสมอง

ผู้คนมักคิดว่าหากมีเงินชนิดใช้มากๆ แล้วก็ยังพร่องน้อย ชีวิตก็จะมีความสุขเป็นที่สุด โดยลืมนึกไปถึงความสุขใจซึ่งเป็นอีกส่วนของความสุขที่สำคัญอย่างยิ่ง หากมีกินทุกมื้ออย่างเหลือเฟือ
อยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่างและเพียงพอไปถึงชาติหน้าด้วย แต่กลับนอนไม่หลับเพราะทุกข์ใจจากความประพฤติของลูกหลานและคู่ชีวิต สุขภาพตนเองก็ย่ำแย่ อีกทั้งนึกถึงความหลังที่คิดว่าได้ทำสิ่งไม่ดีไว้ อย่างนี้ก็ยากจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร
วันนี้ลองมาพิจารณากันเรื่องความหลังที่ทำให้เกิดทุกข์ใจว่าจะแก้ไขอย่างไร จึงจะทำให้เกิดความสุขขึ้นบ้างโดยใช้คำแนะนำจากนักจิตวิทยาสมัยใหม่
คนที่เกิดความทุกข์ใจจากความหลัง ส่วนใหญ่มักมาจากความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง ซึ่งมักมาจากหลายเรื่องดังต่อไปนี้ (1) ทำร้ายผู้อื่น (ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม) เช่น เป็นต้นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุจนมีคนบาดเจ็บ หรือไม่ได้ยืนหยัดปกป้องคนที่ควรได้รับการคุ้มครองเมื่อถูกบูลลี่ หรือไม่ได้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่รักในช่วงวิกฤติ
(2) ล้มเหลวในความรับผิดชอบ เช่น ส่งงานไม่ทันจนทีมงานเดือดร้อน หรือลืมวันเกิดคู่สมรสหรือลูก หรือทำความผิดพลาดในเรื่องการเงินจนครอบครัวลำบาก หรือไม่ดูแลตนเองให้ดีด้านสุขภาพจนเป็นภาระของครอบครัวในวันหลัง (3) ขัดแย้งด้านศีลธรรม เช่น นอกใจคู่ชีวิต หรือทำสิ่งที่ตรงข้ามกับคุณค่านำทางชีวิต (values) ที่เหมาะสม เช่น หาประโยชน์จากความไว้วางใจที่คนอื่นมีให้
(4) รอดตายมาคนเดียวจากเหตุการณ์วิบัติในขณะที่เพื่อนเสียชีวิตหมด หรือได้รับการเลื่อนตำแหน่งคนเดียวในขณะที่เพื่อนคนอื่นที่มีความสามารถเช่นเดียวกันถูกให้ออก (5) ความสมบูรณ์แบบกับมาตรฐานส่วนตัว คิดว่าไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตโดยตั้งมาตรฐานไว้สูงมาก หรือก้าวหน้าได้รับตำแหน่งช้าไป หรือทำคะแนนไม่ได้ดีจากการสอบทั้งที่รู้ว่าตนเองเป็นคนเก่ง
(6) อบรมดูแล คิดว่าไม่ดูแลพ่อแม่ที่สูงอายุแล้วอย่างเพียงพอ หรือเสียใจที่ขาดวินัยในอดีตจนกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือรู้สึกว่าไม่ได้อบรมเลี้ยงดูลูกอย่างเพียงพอ และ (7) รู้สึกเสียใจในความสัมพันธ์ เช่น จบความสัมพันธ์กับคนที่ชอบพอกันอย่างไม่เหมาะสม หรือพูดจาไม่ถูกต้องยามเพื่อนเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต หรือเสียใจที่ขาดการติดต่อกับเพื่อน และรู้ว่าเสียชีวิตไปแล้ว
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นในอดีต ที่ทำให้ไม่สบายใจหรือถึงกับทุกข์ใจจนขาดความสุขได้ในปัจจุบัน จนเกิดความรู้สึกว่าตนเองผิด ผมมั่นใจว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นในใจของทุกคนในยามที่มีอายุมากขึ้น หรือมีห้วงเวลาของการสะท้อนคิด มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป
สำหรับเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกผิดมากๆ เพราะเป็นเรื่องฉกรรจ์ เช่น จ้างยิงคน จงใจฆ่าคนตาย หลอกลวง ฯลฯ ข้อเขียนนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้เพราะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส ผมขอเสนอให้พบจิตแพทย์ (แพทย์เชี่ยวชาญด้านจิตเวชให้ยาและพูดจารับฟัง) หรือนักจิตวิทยา (ปริญญาวิทยาศาสตร์แต่ไม่ใช่แพทย์ หากเชี่ยวชาญด้านการให้คำแนะนำปรึกษาแต่ไม่ได้รักษาด้วยยา)
เพื่อลดความทุกข์ใจอันเนื่องมาจากความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง คำแนะนำก็คือ พยายามยกโทษให้ตนเองโดยถือว่ามันเป็นกระบวนการ มิใช่การกระทำเพียงครั้งเดียวด้วยวิธีการดังนี้
(1) ยอมรับความผิดในสิ่งที่ได้กระทำไปแทนที่จะหลีกเลี่ยง เช่น “ผมทำร้ายเขาโดยใช้คำพูดแรงไป” หลักก็คือ ต้องเผชิญหน้า คุณจะยกโทษให้ตัวเองไม่ได้เลยหากไม่ยอมเผชิญความจริง
(2) แยกแยะแยกระหว่าง guilt (ความรู้สึกผิด) “ผมทำบางอย่างที่ไม่ดี” (เป็นเรื่องของพฤติกรรม) กับ shame (ความรู้สึกอับอาย ) “ผมเป็นคนไม่ดี” (เป็นเรื่องของความเป็นตัวตน) คนทำพลาดมิใช่เป็นคนเลวมันเป็นเรื่องของพฤติกรรม มิใช่เป็นเรื่องเฉพาะตัว ทั้งหมดก็เพื่อเปลี่ยนจาก “เป็นความผิดพลาด” เป็น “คนทำสิ่งที่ผิดพลาด”
(3) ยอมรับความรับผิดชอบและพร้อมที่จะแก้ไขและชดใช้ ขอโทษอย่างจริงใจ พยายามแก้ไขสร้างความเชื่อถืออีกครั้งโดยช่วยเหลือและชดเชย (4) เรียนรู้บทเรียน ตอบคำถาม “ฉันจะทำอะไรที่แตกต่างออกไปในครั้งต่อไป”
(5) ให้ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจตนเอง (self-compassion) จงกระทำกับตนเองเช่นเดียวกับที่จะทำให้เพื่อนสนิท พูดจากับตนเองในเชิงเห็นอกเห็นใจ แทนที่จะบอกว่า “ผมมันแย่มาก” ควรเป็น “ผมทำผิดไปแล้ว แต่ก็ยังสมค่ากับความรักที่ได้ให้มา"
(6) ไตร่ตรองและตรวจสอบ เมื่อเห็นว่ามีความคิดที่วนเวียนว่าตนเองเป็นคนผิดอย่างไม่รู้จบ ถามตนเองว่าการคิดในเรื่องเช่นนี้มีประโยชน์หรือไม่ (7) การพิจารณาจากแง่มุมที่กว้างขึ้น คุยกับเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ หรือกับรุ่นพี่ที่นับถือเพื่อให้เห็นการพิจารณาถึงความรู้สึกผิดของตนเองในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น
(8) คิดเชิงปริญญาและคำสอนของศาสนา ใช้คำสอนทางศาสนาที่เกี่ยวกับการให้อภัยมาใช้กับตนเอง โดยคิดว่ามนุษย์ทุกคนสามารถผิดพลาดได้ด้วยกันทั้งนั้น ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของบทเรียนชีวิต (9) ให้เวลาเป็นยารักษา โดยธรรมชาติการให้อภัยตนเองเกิดขึ้นได้อย่างช้าๆ แต่หากเป็นแผลลึกก็อาจใช้เวลามากขึ้น
วิธีคิดที่สำคัญก็คือ ทุกสิ่งได้เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย สิ่งที่ทำได้ก็คือปรับการมองความผิดนั้น โดยให้อภัยตนเองเช่นเดียวกับที่อภัยให้คนอื่น อย่าใจร้ายกับตนเองมากเกินไปจนเป็นการทำร้ายตนเอง เพราะคนที่รับผลเสียในที่สุด ก็คือ ตัวเราเอง
อย่าเอาสิ่งที่เป็นมาตรฐาน หรือคุณค่านำทางชีวิต หรือกรอบที่ใช้กับสังคมปัจจุบันไปใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต พึงคิดว่าในตอนที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกข์ใจขึ้นนั้น
สภาพจิตใจ ความเชื่อ การเจริญเติบโตของร่างกายและจิตวิญญาณของเรายังไม่อยู่ในสถานะเช่นปัจจุบันที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้รอบด้านอัน ดังนั้น ความผิดที่เกิดขึ้นจึงสมควรได้รับความเห็นอกเห็นใจ โดยไม่เอามาตรฐานปัจจุบันไปเทียบเคียง
การนึกถึงสิ่งที่เราคิดว่าได้ทำผิดพลาดในอดีตไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพราะทุกคนก็เป็นเช่นเรา มันทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้นอย่างพร้อมต่อการปรับปรุงแก้ไข โลกแท้จริงแล้วไม่มีความสมบูรณ์แบบจะเอาอะไรกับมันนักหนา จงให้ความเมตตาและเห็นอกเห็นใจตนเอง







