ใช้ชีวิตแบบ JOMO ที่ไม่รู้บ้างก็ดี | Now and Beyond

ใช้ชีวิตแบบ JOMO ที่ไม่รู้บ้างก็ดี | Now and Beyond

หลายคนคุ้นเคยกับ FOMO ที่เริ่มพูดกันราว 20 ปีก่อนเมื่อโซเชียลมีเดียบูม มันคืออาการของคนที่กลัวตกข่าว กลัวไม่รู้ว่าสังคมหรือชาวบ้านพูดเรื่องอะไร นิยมหรือติดตามอะไร

เมื่อมีความกลัวจึงต้องพยายามเกาะติดข่าวสาร ซึ่งมีมากมายแบบท่วมท้นโดยเฉพาะทางโชเชียลมีเดียแพลตฟอร์มทั้งหลาย 

คนที่มีอาการ FOMO (Fear of Missing out) จึงจดจ่อและก้มหน้าอยู่กับจอมือถือตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นำมาซึ่งการขาดสมาธิในการทำงาน เสียสุขภาพทั้งสายตาและอื่นๆ บางคนจมจ่ออยู่แต่ในโลกของตัวเอง ขาดการปฏิสัมพันธ์กับสังคมและโลกภายนอก เกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว ด้วยความกลัวตกกระแส กลัวพลาดโอกาส 

และยิ่งเครียดหนักเมื่อนึกเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งที่คนอื่นเอามาอวดกันทางสื่อโซเชียล บางคนถึงกับต้องตะเกียกตะกายไปกิน ไปเช็กอิน ไปหาประสบการณ์อย่างคนอื่นๆ อาการ FOMO เป็นที่รู้จักและระบาดไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งพจนานุกรมอังกฤษออกซ์ฟอร์ดต้องเพิ่มศัพท์คำนี้เข้าไปเมื่อปี 2556

ราว 10 ปีที่แล้วมานี่เองที่ผู้คนเริ่มตระหนักว่า FOMO ที่หมกมุ่นมากไปนำพิษภัยมาสู่ร่างกายและอารมณ์จากความกลัว กังวลและการเปรียบเทียบ จึงเกิดความคิดใหม่เรียกว่า JOMO (Joy of Missing out) คือ สุขกับการไม่ต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง

เป็นการสร้างไลฟ์สไตล์แบบใหม่เพื่อสุขภาพชีวิตที่ดี รู้เท่าทันและฉลาดในการใช้ชีวิตยุคดิจิทัลที่เราเป็นผู้ควบคุมไม่ใช่ถูกควบคุมจากเทคโนโลยีและสื่อโซเชียลทั้งหลาย

JOMO เป็นเรื่องที่เรากำหนดว่าเราจะเป็นผู้ “เลือก” ที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง ทุกกิจกรรม ทุกเหตุการณ์หรือแนวโน้ม รู้จักลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ พอใจกับสิ่งที่มี และทำใจให้เป็นสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือก นั่นคือ การโอบกอดสุขภาวะที่ดีเข้ามาสู่ตัวเองแทนที่จะวิ่งไล่ตามข้อมูลของคนอื่นว่าเขาเป็นอะไร ทำอะไรที่อาจจะหวนมาสร้างมลพิษให้ใจเรา

JOMO จะนำมาซึ่งความสงบในใจ ความสมดุล และการยอมรับในความเป็นตัวของตัวเอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เราเป็นคนทำงานแบบเชิงรุกที่เห็นว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญแล้วลงมือทำสิ่งที่สำคัญกว่า ไม่ใช่เป็นพวกตื่นเต้นตั้งรับคือวิ่งไล่ตามเทรนด์ของคนอื่นไปทุกเรื่องด้วยความกลัว กังวลใจ และกระวนกระวายอย่างไม่หยุดหย่อน

การใช้ชีวิตแบบ JOMO นั้นจะว่าไปก็ใกล้เคียงกับการดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาที่ว่า ทุกสิ่งในโลกเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ทุกอย่างในโลกล้วนไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เต็มไปด้วยความทุกข์ และไม่มีอะไรที่ควรจะยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่ฮือฮาเป็นเทรนด์วันนี้อีกไม่กี่วันก็ลืมก็เสื่อมกันไป การคิดเปรียบเทียบสิ่งที่คนอื่นมีกับที่เรามีนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่ควรจะไปยึดถือเป็นสรณะ 

การใช้ชีวิตแบบ FOMO จึงเป็นการฟุ้งไปกับสิ่งที่เป็นกิเลส ตัณหา อุปาทาน แทนที่จะอยู่กับตัวเราในปัจจุบันขณะ เป็นอาการของ “จิตวุ่น” แทนที่จะเป็น “จิตว่าง” การหันกลับมาอยู่กับชีวิตแบบ JOMO จึงน่าจะทำให้คนเราทุกข์น้อยลงกระวนกระวายน้อยลงในโลกที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยข้อมูลดีและข้อมูลขยะ

วิธีฝึกใช้ชีวิตแบบ JOMO เริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยน “ความกลัว” เป็น “การเลือกอย่างฉลาด” คิดว่าเมื่อเลือกแล้วเราก็จะได้สิ่งที่ดีกลับคืนมา เช่น สมาธิในการทำงานหรือเวลาพักผ่อนที่เพิ่มขึ้น ต่อไปคือ จำกัดเวลาที่จะอยู่กับหน้าจอ เอามือถือไว้ห่างๆ ตัว หรือตั้งใจไว้เลยว่าไม่มีหน้าจอก่อนนอน ระหว่างกินอาหาร หรือทันทีที่ตื่นนอน

ทำกิจกรรมที่มีคุณค่าอื่นๆ เช่น อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย ทำงานอดิเรก ฯลฯ แทนที่จะจ้องแต่หน้าจอหรือเรื่องของชาวบ้าน นอกจากนั้นไม่ต้องกลัวจะไม่มีเพื่อน มีเพื่อนดีไม่ต้องมากก็ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่บนหน้าฟีด ไม่ต้องขยันเพิ่มเพื่อนหรือสนใจใครต่อใครที่ไม่รู้จักในโลกโซเชียล

JOMO ไม่ใช่แค่พฤติกรรมลดการอยู่หน้าจอเท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์ ดังนั้น หลายๆ องค์กรจึงพยายามรณรงค์ให้พนักงานหันมาให้ความสำคัญ เพื่อจะเพิ่มความแข็งแรงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

องค์กรสามารถนำ JOMO เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพนักงานเพื่อลดความเครียดของพนักงาน ตัวผู้นำควรสร้างบรรยากาศในที่ทำงานแบบว่าชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องยุ่งหรือ “ออน” ตลอดเวลา (always-on) 

บางบริษัทมีนโยบายไม่ส่งอีเมลหรือไม่ติดตามงานทางโซเชียลมีเดียนอกเวลางาน บางบริษัทไปไกลกว่านั้น เช่น การกำหนดหนึ่งวันในสัปดาห์ให้เป็น “วันปลอดการประชุม” หรือกำหนดว่าประชุมทุกครั้งไม่เกินครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง คนไม่เกี่ยวข้องไม่ต้องเข้าประชุม 

ผู้นำควรจะสื่อสารให้พนักงานเข้าใจว่าเป็นสิทธิของพนักงานที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวในบางเวลาโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องร่วมกับทุกกิจกรรมขององค์กรก็ได้หากไม่พร้อม นั่นคือ เลิกความคิดแบบเดิมๆ ประเภทต้องเห็นพนักงานอยู่กัน “พร้อมหน้าพร้อมตา” ในทุกกิจกรรม เพื่อที่พนักงานจะได้ลดความร้อนรนและใช้ชีวิตให้ช้าลงสักหน่อย

JOMO พูดได้ง่าย แต่สำหรับบางคนก็ทำได้ไม่ง่ายนักในยุคนี้ ลองขึ้นรถไฟฟ้าดูจะเห็นว่าร้อยละ 99.99 ของคนบนรถไฟฟ้าต่างก้มหน้าอยู่กับหน้าจอทั้งนั้นด้วยอาการและอารมณ์ต่างกันไป ที่จริงหากจะนั่งหลับตาเฉยๆ หรือนั่งหลับไปเลยบนรถไฟฟ้าก็จะพบว่า JOMO ทำได้ไม่ยากและอาจเกิดความรู้สึกใหม่ที่บอกตัวเองว่า การไม่รู้อะไรๆ เสียบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร